สัปดาห์ที่แล้ว ผมเล่าเรื่องวาทกรรม อำพรางไปส่วนหนึ่ง สัปดาห์นี้ผมขอเล่าต่อเนื่องจากจุดที่เรียกว่า ศพก หรือ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความตั้งใจที่จะพัฒนาขึ้นให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร โดยตัวของเกษตรกรเอง และมีหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนเป็นหน่วยงานสนับสนุน
การดำรงอยู่ของ ศพก. เพื่อให้เกษตรกรผู้สนใจมาเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของตนเองให้เข้มแข็ง สามารถที่จะต่อยอดอาชีพไปได้ เป็นสิ่งจำเป็นในการทำการเกษตรยุคปัจจุบัน แนวคิดของการรวมพลังจากไม้ซีกเล็กๆ เพื่อเป็นไม้ซุงจึงเกิดขึ้น กลายเป็นที่มาของการรวมตัวเป็นแปลงใหญ่ที่ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้สมบูรณ์เหมาะสมกับสภาพการผลิต มีการพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรร่วมกัน รวมถึงการบริหารจัดการการตลาด และพัฒนามาตรฐานของสินค้าในกลุ่มแปลงใหญ่ของตนเอง
ระบบการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่เริ่มดำเนินการในปี 2559 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกของการดำเนินการยังคงใช้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเข้าไปเป็นผู้จัดการแปลง ก่อนที่จะค่อยๆ ถ่ายโอนภารกิจผู้จัดการแปลงใหญ่ไปให้กับเกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ทั้งหมด จะเห็นว่าแนวคิดของการดำเนินการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เป็นแนวคิดที่รวมเกษตรกรผู้ที่มีทักษะทางการเกษตรที่ได้รับการพัฒนาและเรียนรู้มาจาก ศพก. มารวมตัวกันสร้างพลังเพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ผ่านระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สร้างความอยู่ดีกินดีและความยั่งยืนในการพัฒนาให้เกิดขึ้น
ในขณะที่แนวคิดของการจัดตั้งสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชน เป็นแนวคิดที่เริ่มจากการรวมคนที่ประสบปัญหาคล้ายๆ กัน รวมตัวกัน แล้วจึงร่วมกันพัฒนาอาชีพของตนเอง ผ่านกระบวนการกลุ่มต่างๆ โดยมีภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือให้การสนับสนุน ประคับประคองให้สหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชนนั้นดำเนินกิจการไปได้ ผมเองบอกทุกคนเสมอว่า การจัดตั้งกลุ่มของเกษตรกรในลักษณะของสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน ขอร้องให้เจ้าหน้าที่อย่าไปจับตั้ง อย่าเอาแต่ทำงานเพื่อให้ได้ KPI แต่ขอให้เป็นความต้องการของสมาชิกเอง สิ่งใดที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงของสมาชิกกลุ่มนั้นๆ ย่อมส่งผลให้กลุ่มเหล่านั้นมีความเข้มแข็งและพัฒนาก้าวหน้าต่อไป มิเช่นนั้นเจ้าหน้าที่รัฐเองจะเป็นคนที่สร้างตราบาปให้เกิดขึ้น โดยมีเกษตรกรเป็นผู้รับภาระความล้มเหลวทั้งปวงของการดำเนินงาน ในบางพื้นที่เกษตรกรถึงกับออกปากว่า ถ้าเกษตรบอกให้ทำอะไร ให้ทำตรงข้ามที่เกษตรบอก รับรองได้ดีทุกครั้ง ได้ยินประโยคนี้ครั้งใด ผมได้แต่สะท้อนในใจ
การรวมตัวกันเป็นแปลงใหญ่ เป็นการรวมตัวของเกษตรกรที่มีการพัฒนาระบบการเกษตรของตนในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้จากเมล็ด ซึ่งกำลังเติบโตงดงาม มีระบบรากและการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้ดี ซึ่งย่อมมีความแข็งแรงมากกว่าการล้อมต้นไม้ใหญ่มาปลูกเพื่อให้สวยงามทันตา และบางครั้งกว่าต้นไม้ใหญ่ที่ล้อมมาจะปรับตัวได้ มีระบบรากที่ประคองตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่มีไม้ค้ำจุนต้องใช้เวลายาวนาน บางต้นปรับตัวไม่ได้ก็ล้มหายตายจากไป สิ่งที่ลงทุนก่อนหน้านั้นจึงสูญเปล่าโดยไม่มีอะไรตอบแทนกลับมา
ความพยายามในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการแปลงใหญ่ด้วยถ้อยคำใหม่ๆ ผมไม่อยากให้เป็นเพียงวาทกรรม อำพราง แต่ผมอยากให้คิดกันให้ดีๆ ให้รอบด้าน อย่าไปล้อมต้นไม้ใหญ่มาปลูกกันเลย จะดีกว่าหรือไม่ถ้าภาครัฐจะทำหน้าที่เพียงหน่วยสนับสนุนให้แปลงใหญ่เติบโตตามศักยภาพภายในของแต่ละแปลงเอง ไม่ต้องไปเร่งเร้าให้แปลงใหญ่เปลี่ยนเป็นโน่นนี่นั่นตามความต้องการของผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกแปลงใหญ่ โดยส่วนตัวผมชอบการเฝ้าดูการเจริญเติบโตของกล้าไม้ รู้สึกถึงความงามที่หาได้ง่ายๆ ไม่มายาดี
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี