แม้ กกต. จะยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอจะประเมินได้ว่าผลคงไม่ต่างไปจากนี้มากนัก พรรคที่มี สส. มากที่สุด คือ เพื่อไทย จะเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคที่มีคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมากที่สุด คือ พลังประชารัฐจะอ้างความชอบธรรมว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่เลือกตนเอง เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ก็พอจะดูแนวทาง หรือนโยบายด้านการเกษตรพอได้ว่าจะออกมาอย่างไร
ถ้าพลังประชารัฐ เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯส่วนหนึ่ง คงพอจะสบายใจได้ว่า นโยบายด้านการเกษตรเดิมจะถูกสานต่อ โดยเฉพาะ นโยบายการผลิตระบบแปลงใหญ่ หรือ นโยบายใช้ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ศพก.) เป็นศูนย์กลางการขยายผลเทคโนโลยีด้านการเกษตร ที่สำคัญคือ กลุ่ม ศพก. นี้คือฐานคะแนนของพลังประชารัฐเลยทีเดียว
แต่คงมีข้าราชการอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะข้าราชการในส่วนภูมิภาค คงกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่านโยบายเร่งด่วนเช่นในอดีต อย่าง โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ และโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยภายใต้โครงการสร้างทักษะและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร ที่เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไม่กี่เดือน จะกลับมาสร้างความเครียด และหนักใจให้กับพวกเขาอีกหรือไม่
นโยบายเกษตรอินทรีย์ ที่รัฐบาลนี้ชักชวนคนที่สุดโต่ง หรือคนที่ต่อต้านการใช้สารเคมีมาเป็นรัฐมนตรี ก็มีแนวคิดที่คับแคบ
แบบไม่ดูภาพรวมการเกษตรของประเทศว่าการจะเป็นครัวของโลก หรือเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกเขาจะต้องทำอย่างไร สร้างความขัดแย้งไปทั่ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่คงต้องทบทวนถ้าจะกลับมาเป็นรัฐบาล เช่นเดียวกับการเชื้อเชิญอดีตผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์มาดูแลเรื่องข้าว เพื่อที่จะขายข้าวให้ได้ราคาดี และส่งออกข้าวให้มาก ที่ผ่านมาก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะมองแต่เรื่องการค้าอย่างเดียว ไม่ได้มองเรื่องการผลิตที่มีตัวแปรมากมาย
นโยบายประชารัฐที่ร่วมกับบรรดาภาคเอกชนรายใหญ่ๆ เพื่อทำการผลิตพืชบางชนิด ด้วยการเพิ่มพื้นที่การผลิตบ้าง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้ปัจจัยการผลิตบ้าง เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชน แต่เกษตรกรได้รับผลกระทบจากราคาผลผลิตตกต่ำ จนรัฐบาลต้องเข้ามาจ่ายเงินชดเชยสารพัดพืช ก็ต้องทบทวนเช่นกัน ว่าประชารัฐที่ผ่านมาเป็นความร่วมมือที่ทำให้วงการเกษตรพัฒนาขึ้นหรือไม่ แม้ว่าภาคเอกชนเหล่านั้นจะหนุนให้รัฐบาลนี้กลับมาในนาม “พลังประชารัฐ” ก็ตาม
ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องรอดูว่าจะแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น 30% และมีเสถียรภาพได้อย่างไรภายใน 6 เดือน (ตามที่ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคประกาศยืนยันว่า 6 เดือนแน่นอน “นาฬิกาตรง ไม่ได้ยืมใครมา”)โดยเฉพาะข้าว และยางพารา แต่คงไม่มีโครงการจำนำข้าว หรือจำนำผลผลิตพืชอื่นๆมาเตือนความทรงจำของผู้คนให้หวาดผวา
นโยบายสำคัญที่พรรคเพื่อไทย ประกาศหาเสียงในหลายพื้นที่ คือ กองทุนปรับเปลี่ยนหน้าดิน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี และพร้อมที่จะแบนสารเคมี 3 ชนิด ที่เป็นประเด็นอยู่ในรัฐบาลชุดนี้เสียด้วย นโยบายนี้คงต้องทบทวนเช่นเดียวกับนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลชุดนี้อีกเช่นกัน มิเช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกษตรเคมี และเกษตรอินทรีย์ ก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การเกษตรของประเทศก็คงไม่เดินหน้าพัฒนาไปไหน แต่ถ้าบอกว่ามุ่งสู่การเป็น “เกษตรปลอดภัย” ก็เห็นด้วย เพราะเคมีก็ใช้ให้ปลอดภัยได้ และวิถีเกษตรปลอดภัยนี้คือ สากล
นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อให้เกษตรกรตั้งตัวได้นั้น คงต้องถาม ธ.ก.ส. เจ้าหนี้รายใหญ่ของเกษตรกรว่า ที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันใช้เงินของ ธ.ก.ส.ในโครงการต่างๆ ไปกี่หมื่นล้าน และมีเงื่อนไขผูกพันกันอย่างไรระหว่าง ธ.ก.ส. กับ เกษตรกรตามโครงการที่คิดว่าออกแบบไว้อย่างดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้ง พลังประชารัฐ และเพื่อไทย ก็คงไม่ได้เป็นพรรคเดี่ยวๆ ที่จัดตั้งรัฐบาล ต้องร่วมกับพรรคอื่นๆ ด้วย เพื่อให้คะแนนเสียงในสภาฯ มีเสถียรภาพ ดังนั้นการต่อรองเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ของแต่ละพรรคที่ร่วมรัฐบาลก็ต้องมา และมาพร้อมกับนโยบายของพรรคที่สัญญาไว้กับประชาชนตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปลูกกัญชาเสรี การออกกฎหมายพืชเศรษฐกิจเพื่อให้มีส่วนแบ่งเหมือนอ้อยและน้ำตาล โครงการโฉนดสีฟ้าโครงการเกษตรกรรุ่นใหม่เรียนฟรี โครงการกองทุนสวัสดิการเพื่อเกษตรกร และ กองทุน Smart SME Farm เป็นต้น
นโยบายเหล่านี้บางนโยบายน่าสนใจ และน่าสนับสนุนถ้าทำได้จริง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีพรรคไหนชูนโยบายการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเกษตรเลย ทั้งถนนหนทางในการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และที่สำคัญคือ ระบบชลประทานที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการเพาะปลูก
ว่าแต่....ดูหน้าตาของ สส.แต่ละพรรค ทั้งสส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ มีหลายท่านที่เคยเป็น รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มาแล้ว ซึ่งวงการเกษตรคงรำลึกอดีตได้ว่าผลงานใคร “ดี” ผลงานใคร “ยี้” จึงขอส่งสารไปยังว่าที่นายกรัฐมนตรี..ถ้าจะให้การเกษตรพัฒนาก้าวหน้า ขอรัฐมนตรีเกษตรที่สมาร์ทๆ และเป็นสากลหน่อยเถอะขอรับ
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี