คำว่า “ใบ้กิน” เป็นภาษาพูด หมายถึง นิ่งอึ้ง พูดไม่ออก ที่ผมยกมาในครั้งนี้ เป็นเรื่องราวที่ผมติดตามความเป็นไปของงานวิจัยและพัฒนาด้านพืชมาจากสื่อต่างๆ ยิ่งในช่วงที่การเมืองกำลังนัวเนียกันอยู่ ผมจึงมาทบทวนว่าตกลงงานวิจัยและพัฒนาด้านพืชจะไปทางไหนกันแน่ ยุคก่อนที่เทคโนโลยีจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด ระบบงานวิจัยยังไม่ถูกครอบด้วยยุทธศาสตร์การวิจัยระดับชาติ ที่ว่ากันว่าเป็นการแบ่งงานกันทำ นักวิจัยของกรมวิชาการเกษตร นับว่ายืนอยู่แถวหน้าของนักวิจัยในประเทศ สามารถที่จะเป็นผู้นำและกำหนดทิศทางของงานวิจัยได้อย่างเฉียบขาดแหลมคม ยกตัวอย่างเช่น ดร.อาวุธ ณ ลำปาง เป็นนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเรื่องถั่วเหลือง สามารถที่จะเป็นผู้นำในการวิจัยด้านถั่วเหลืองทั้งระบบ โดยดึงมหาวิทยาลัย กรมส่งเสริมการเกษตร และภาคเอกชนเข้ามาร่วมกันทำการวิจัย เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาถั่วเหลืองของประเทศในยุคนั้นเรียกได้ว่า ถ้ากล่าวถึงถั่วเหลือง ให้นึกถึง ดร.อาวุธ ทันที
ในยุคต่อมาที่เริ่มนำระบบมาจับกับงานวิจัย มีการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ให้แต่ละคนช่วยกันทำ งานใดที่ไม่ใช่งานในภารกิจของหน่วยงานก็จะไม่ได้รับการสนับสนุน เกิดการปรับตัวของนักวิจัยครั้งใหญ่ คิดงานง่ายๆ เห็นผลชัดเจน เปลี่ยน พ.ศ. ทำงานกันไป เพื่อให้ได้ตามตัวชี้วัด อันที่จริงต้องเข้าใจพื้นฐานกันก่อนว่างานวิจัยคืองานที่ต้องคิดล่วงหน้า เป็นงานที่ต้องคาดการณ์ว่า อีก 5 ปี 10 ปี ปัญหาใดจะเกิดขึ้น และงานวิจัยต้องพร้อมจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ทันท่วงที ดังนั้นงานวิจัยจะพัฒนาไปได้ด้วยดีก็ต้องมีองค์ประกอบที่เข้าใจในพื้นฐานเดียวกันตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงนักวิจัยระดับปฏิบัติ รวมไปถึงงานสนับสนุนต่างๆ
เท่าที่ผมสังเกตเห็น นักวิจัยที่เก่งๆ จะคิดและทำในสิ่งที่เรียกว่าง่ายๆ ไม่ ยากๆ ทำ วิธีคิดวิเคราะห์ปัญหาจะไม่เหมือนนักวิจัยประเภทที่ทำตาม KPI ส่งผลให้การทำงานวิจัยแต่ละชิ้นงานต้องนำงบประมาณจากส่วนอื่นมาจัดสรรและดำเนินการ เพราะเมื่อเสนอของบประมาณมักจะเจอจุดสกัดประเภทว่า ไม่ใช่พืชเศรษฐกิจหลัก ไม่ใช่พืชที่หน่วยงานรับผิดชอบ เรียกว่าตกม้าตายตั้งแต่ยกแรก ดับฝันและดับไฟกันได้ในทันที ดังนั้น นักวิจัยเหล่านี้ จึงมักไม่ค่อยอยู่ในสายตาของนักบริหาร และมักจะเกษียณอายุราชการไปอย่างสงบเงียบ พร้อมทิ้งผลงานวิจัยอันทรงคุณค่าไว้เบื้องหลัง ให้ผู้ค้นพบได้นำมาใช้ประโยชน์กันต่อไป
นักวิจัยที่ผมรู้จักที่มีคุณสมบัติดังกล่าว คือ ดร.เพิ่มศักดิ์ สุภาพรเหมินทร์ นักวิจัยของศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ ผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับปอสาให้ได้คุณภาพของเส้นใยที่ยาว และผู้ศึกษาการผลิตกัญชงเมื่อหลายปีก่อน ผมเองเคยตั้งประเด็นให้นักวิจัยพยายามศึกษาพืชสมุนไพรหลายชนิดในแง่ของการเขตเกษตรกรรม เพื่อให้ได้สารสำคัญตามความต้องการทางเภสัชกรรม เพราะการใช้ประโยชน์ทางเภสัชกรรมมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศรองรับแล้ว ในขณะที่ภาคของการผลิตยังไม่ถึงไหน เอาง่ายๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร จะปลูกอย่างไร ดูแลอย่างไร เพื่อให้สารสำคัญมากที่สุด มีความสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่ยังรอคำตอบ ยังไม่ร่วมถึงนโยบายกัญชาที่กำลังจะตามมา หากจะต้องดำเนินการจริง ต้องนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศเพื่อปลูกกัญชาไทยหรือ มันคือระบบหรือคนที่ไม่ตอบสนองประเด็นเหล่านี้ มองหน้ากัน แล้วใบ้กินครับ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี