รบ.น้อมนำรับสั่งร.10
ขันนอตทุกภาคส่วนสู้ฝุ่นไฟป่า
กสม.จี้ยกวาระแห่งชาติ
7จว.เหนือสูดมลพิษต่อ
กำนัน-ผญบ.ฉุนจ่อไขก๊อก
นายกฯน้อมนำรับสั่ง “ร.10” ที่ทรงห่วงใยปชช.ภาคเหนือที่เผชิญฝุ่นมลพิษ บูรณาการทุกภาคส่วนแก้ปัญหาลดพื้นที่จุดความร้อน พร้อมประสาน ปท.เพื่อนบ้านลดเผาป่า ขณะที่ 7 จว.เหนือยังแดงโร่ เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน จุดความร้อนไฟป่ายังโผล่ต่อเนื่อง ทำ PM2.5 พุ่งไม่หยุด
เมื่อวันที่ 3 เมษายน พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเชิญพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยประชาชนในภาคเหนือ ที่เผชิญปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 มาก และทรงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนเสียสละ โดยรัฐบาลบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อลดพื้นที่ที่มีจุดความร้อนหรือฮอตสปอร์ตภายใน 7 วัน พร้อมประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเข้าใจปัญหาและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“นายกฯเน้นย้ำว่าพระราชวงศ์ทรงติดตามความทุกข์ร้อนของพสกนิกรตลอดเวลา และทรงให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและไฟป่าเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุดกองทัพบกเตรียมขยายผลเรื่องการฝึกผจญเพลิงและดับไฟป่าตามแนวพระราชดำริให้เป็นรูปธรรม ส่วนหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ร่วมกับภาคเอกชน ช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองทุกวิถีทางอย่างเต็มที่ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายเร็วที่สุด” พล.ท.วีรชน กล่าว
กสม.จี้ยกเป็นวาระแห่งชาติ
ด้านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยวิกฤตการณ์มลพิษทางอากาศในภาคเหนือ ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน พร้อมเสนอให้รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ และองค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ปัญหาวิกฤตมลพิษทางอากาศ โดย ยกระดับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระดับชาติ และเร่งประกาศวาระแห่งชาติ ด้านแก้ปัญหามลภาวะฝุ่นละออง โดยกำหนดแผนการบริหารจัดการปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ รัฐบาลควรแสวงหาความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านป้องกันแก้ปัญหาเผาป่า ที่ส่งผลต่อปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทย ตามกรอบข้อตกลงอาเซียน เรื่องมลพิษหมอกควันข้ามแดน
7จังหวัดเหนือยังแดงโร่
ขณะที่นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)เผยว่าจากการประสานข้อมูลคุณภาพอากาศกับกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เมื่อวันที่ 3 เมษายน เวลา 05.00 น. มีจังหวัดที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือ (PM 2.5 ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอนหรือPM 10 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง เกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เกินค่ามาตรฐาน 100 รวม 7 จังหวัดคือ
จ.เชียงราย อ.เมือง อ.แม่สาย จ.เชียงใหม่ อ.แม่แจ่ม จ.ลำปาง อ.เมือง อ.แม่เมาะ จ.ลำพูน ที่อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ที่อ.เมือง จ.น่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.พะเยา ที่อ.เมือง วัดมีค่า PM 2.5ได้ระหว่าง 51 – 260 มคก./ลบ.ม. ค่าฝุ่น PM 10 ระหว่าง 69 – 291 มคก./ลบ.ม. และAQI มีค่าระหว่าง 101 – 370 อยู่ในระดับสีแดง เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งปภ.ยังกำชับทั้ง 7 จังหวัดป้องกันแก้ปัญหาไฟป่าต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ป่า ที่โล่ง และริมทางหลวง
เชียงรายสาหัสฝุ่นพิษ-ไฟป่า
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นควันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือหลายจังหวัดยังน่าเป็นห่วง ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.เชียงรายว่า ปริมาณฝุ่นยังอยู่ในระดับวิกฤต ข้อมูลจากคพ.วัดคุณภาพอากาศในอ.เมืองเชียงราย พบปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงถึง 113 มคก./ลบ.ม.และPM 10 วัดได้ 137 มคก./ลบ.ม. ส่วนที่ อ.แม่สาย พบปริมาณฝุ่น PM 2.5 จำนวน 162 มคก./ลบ.ม. และPM 10 วัดได้ 186 มคก./ลบ.ม.แม้จะลดลงกว่าเมื่อวันที่ 2 เมษายน แต่ยังอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่บริเวณบ้านสามสูง ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง
ใกล้ดอยแม่สลองเกิดไฟไหม้ป่าเป็นบริเวณกว้างตั้งแต่ช่วง 17.00 น.วันที่ 2 เมษายน และรุนแรงเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเร่งเข้าดับไฟ แต่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะจุดที่เกิดไฟอยู่บนดอยสูงกับหุบเข้าลึก กระทั่งช่วงบ่ายวันนี้ จึงควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง เกรงไฟจะปะทุขึ้นมาอีก มีพื้นที่ป่าเสียหายอย่างน้อย 50 ไร่
เชียงใหม่ปูพรมฉีดน้ำ-ยังลอบเผา
เช่นเดียวกับ ที่จ.เชียงใหม่ ทุกภาคส่วนช่วยกันฉีดพ่นละอองน้ำทั่วทั้งจังหวัด รวมทั้งมีการติดตั้งสเปย์พ่นละอองน้ำเพิ่มความชื้นไว้ 5 จุดทั่วเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเช้าวันนี้คพ.วัดค่าฝุ่น PM 2.5 บริเวณโรงเรียนยุพราชอยู่ที่ 111 มคก./ลบ.ม. สภาพอากาศในเมืองและชุมชนยังขุ่นมัว เป็นสีเทา ส่วนการตรวจจับจุดความร้อนยังพบกระจายในหลายอำเภอ เพราะมีการลอบเผาป่าต่อเนื่อง นับได้ถึง 161 จุด ส่วนภาพรวมทั้งภาคเหนือมีจุดความร้อนมากถึง 763 จุด สูงสุดที่จ.แม่ฮ่องสอน ตามด้วยเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และพะเยา
แม่ฮ่องสอนจุดความร้อนพุ่ง
ที่จ.แม่ฮ่องสอน ยังมีไฟป่าเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยดาวเทียมระบบเวียร์ตรวจจับจุดความร้อนได้รวม 372 จุด ในอ.สบเมย แม่สะเรียง แม่ลาน้อย ขุนยวม เมือง และปางมะผ้า สถานการณ์ดูเหมือนจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น หลังนายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกคำสั่งห้ามเข้าป่าและเก็บหาของป่าอย่างเด็ดขาด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 และสั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองคอยตรวจตราและหากว่ามีการฝ่าฝืนให้จับกุมดำเนินคดี ต่อมาวันที่ 2 เมษายน ผู้ว่าฯมีคำสั่งเพิ่มเติมให้นายอำเภอแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกพื้นที่ ให้ลดจุดความร้อนลงให้ได้มากที่สุด ภายใน 7 วัน ถ้ามีจุดความร้อนเกิดขึ้นหมู่บ้านใดต้องสอบวินัยและไล่ออกทุกคน พร้อมเรียกประชุมด่วนเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว ซึ่งประเด็นดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านในจ.แม่ฮ่องสอน และมีความเคลื่อนไหวจะรวมตัวลาออกจากตำแหน่ง
กำนัน-ผญบ.ฉุนคำสั่งผู้ว่าจ่อไขก๊อก
แหล่งข่าวผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งเผยว่า การแก้ปัญหาไฟป่าของแม่ฮ่องสอน ถ้าปีใดผู้ว่าฯข่มขู่จะจับกุมคนเผาป่า แล้ว จะพบการต่อต้านจากคนในพื้นที่และมีการลอบเผา ป่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้ง การแก้ปัญหาทุกปี จังหวัดได้งบประมาณสนับสนุนหลายสิบล้าน แต่เงินถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านไม่ถึง 10% จึงเกิดข้อครหาว่าจังหวัดไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทุ่มงบที่ปลายเหตุ จึงปัญหารุนแรงกว่าเดิม เห็นได้จากก่อนมีคำสั่งประกาศปิดป่า และห้ามราษฎรเข้าเก็บหาของป่า ปริมาณจุดฮอทสปอต ไม่เกิน 200 จุดทั้งจังหวัด แต่หลังประกาศดังกล่าวเกิดไฟป่าสูงเกือบ 600 จุด ดังนั้น การแก้ปัญหาไฟป่า ข้าราชการต้องเข้าใจถึงบริบทของชาวบ้านด้วย
ฝนหลวงบรรเทาแล้งบุรีรัมย์
ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งหลายจังหวัดอีสานรุนแรงลุกลามหลายพื้นที่ โดยที่จ.บุรีรัมย์ นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเผยว่า พื้นที่จ.บุรีรัมย์ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ทั้งพื้นที่การเกษตรและเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค ทางกรมฝนหลวงฯจึงให้เจ้าหน้าที่มาตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ขึ้นปฎิบัติการทำฝนหลวง 12 วัน รวม 35 เที่ยวบิน มีฝนตกเฉลี่ย 10 วัน กระจายในพื้นที่หลายอำเภอ บรรเทาผลกระทบให้พื้นที่การเกษตร และน้ำอุโภคบริโภคได้ดี และล่าสุดได้ย้ายหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงไปช่วยพื้นที่ประสบภัยแล้งที่ จ.นครราชสีมา แล้ว
หนองคายอ่างเก็บน้ำหลักเหลือน้อย
ที่จ.หนองคาย สถานการณ์ภัยแล้งขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีน้ำในอ่างเหลือน้อย อย่างอ่างเก็บน้ำห้วยบังพวน ต.หนองนาง อ.ท่าบ่อ อ่างเก็บน้ำหลักขนาดกลาง 1 ใน 4 แห่งของจังหวัดน้ำแห้งลงมาก จนตอใต้น้ำโผล่า มีปริมาตรน้ำเหลือในอ่างเพียง 0.868 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 10.07 และมีปริมาตรน้ำที่ใช้ได้เพียง 0.468 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น จากภาวะดังกล่าว ทำให้จังหวัดต้องจัดเวลาปล่อยปิดน้ำ ส่งผลต่อเกษตรกรในพื้นที่ 14,372 ไร่ โดยเฉพาะจุดที่อยู่ปลายน้ำ เริ่มได้รับผลกระทบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี