ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก 10 ปี “เสี่ยบิ๊ก” หรือ “ปาเกียว เมืองไทย”อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ คดีปลอมตั๋วเงิน สกสค. นับพันล้านให้ ช.พ.ค.ปล่อยกู้ให้กับบุคลากรทางการศึกษา
เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีปลอมตัวเงิน สกสค.หมายเลขดำ อ.1134/59 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเสี่ยบิ๊ก อายุ 44 ปี ฉายา “ปาเกียว เมืองไทย” อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เป็นจำเลยในความผิดฐานปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 , 266 (4) ,268
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2556-21 กรกฎาคม 2557 จำเลยกับบริษัท บิลเลี่ยน อิโนเวเทค กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันปลอมตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ของธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อไปใช้อ้างต่อสำนักงานสวัสดิการ และสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ว่า เป็นตั๋วแลกเงินที่แท้จริงจากธนาคารฮ่องกงฯ ที่ออกคำสั่งจ่ายเงินตามคำสั่งของสำนักงาน สกสค.ผู้เสียหาย จำนวน 100 ล้านดอลล่าร์ สหรัฐ หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญา ใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่จำเลยนำมาหลอกลวงขายให้แก่ สกสค.โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนสนับสนุนพิเศษ และส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)จนทำให้ สกสค.ได้รับความเสียหาย
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ให้ลงโทษจำคุกนายสัมฤทธิ์ 10 ปี ฐานใช้ตั๋วเงินปลอม ริบของกลาง ต่อมานายสัมฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์สู้คดี อ้างว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง ขอให้ศาลยกฟ้อง
โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายสัมฤทธิ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมตั๋ว เงิน และได้ลาออกก่อนที่ ช.พ.ค. จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานรับฟังได้ว่า เมื่อ ช.พ.ค. ได้มีการโอนเงินเข้ายังบัญชีบริษัทประมาณ 1,200 ล้านบาทแล้ว บริษัทได้โอนเงินไปยังบัญชี จำเลยประมาณ 40 ล้านบาท และมีการถอนเงินจากบัญชีบริษัทอีกจำนวน 120 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่จำเลยอ้างว่า ได้ลาออกจากบริษัทแล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่า มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในลักษณะเร่งรีบ และในช่วงเวลาที่มีเงินเข้าบัญชีบริษัทเป็นจำนวนมาก ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังมีส่วนบริหารในบริษัทอยู่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การลาออกเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเท่านั้น แต่จำเลยคงทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสัมฤทธิ์ ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตามเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี