จับติดคุกสถานเดียว
‘กฤษฎา’งัดไม้แข็ง
ขู่จัดการขั้นเด็ดขาด
เอาผิดพวกดื้อเผาป่า
“กฤษฎา” ขู่จัดการขั้นเด็ดขาด เอาเข้าคุกสถานเดียว หากไม่หยุดเผาป่า เจอโทษรุนแรงข้อหา “เผาทรัพยากรธรรมชาติ” ส่งหนังสือ จี้ผู้ว่าฯทุกจังหวัด เรียกมือเผาป่าเจรจายุติทำไร่เลื่อนลอย ปภ.สรุป 9จังหวัด ภาคเหนือ คุณภาพอากาศภาพรวม มีผลกระทบต่อสุขภาพ เร่งปฏิบัติการแก้ไขปัญหาต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 5 เมษายน พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณและชื่นชมที่สถาบันการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง โดยรัฐบาลยินดีรับฟังข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ เช่นเดียวกับกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่พร้อมรับข้อเสนอแนะจากทางมหาวิทยาลัยไปพิจารณาด้วย
“นายกฯ เน้นย้ำว่า หลังจากการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พบว่าการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดจุดฮอทสปอตใน 9 จังหวัดได้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาลงไปถึงระดับตำบล โดยบูรณาการความร่วมมือของทุกฝ่าย และยกระดับการแก้ปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปหารือกับประเทศเพื่อนบ้านตามกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน” พล.ท.วีรชน กล่าว
ขณะที่ นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควัน ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานกระทบต่อสุขภาพประชาชน ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสานว่า ได้รณรงค์ลดการเผาเศษซากพืชวัสดุการทำเกษตรในพื้นที่ราบ จนขณะนี้ลดได้เกือบหมด แต่มีรายงานพบว่าในพื้นที่ป่าประเภทต่างๆ มีการเผาป่ามาต่อเนื่อง จึงขอเตือนให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว ถ้าไม่หยุดจะดำเนินคดีทางกฏหมายอย่างเข้มข้นทุกรายมีโทษติดคุกสถานเดียว ตามกฏหมายใหม่มีโทษรุนแรงขึ้น จากเมื่อก่อนโดนโทษปรับเท่านั้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำหนังสือไปถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ให้สั่งนายอำเภอ เกษตรอำเภอ ประสานผู้นำชุมชน เรียกตัวเกษตรกรที่มีพฤติกรรมเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย มาเจรจาให้หยุด ถ้ายังไม่หยุดต้องดำเนินคดีเด็ดขาดในคดีเผาทำลายทรัพยากร
นายจานุวัตน์ เลิศศิลป์เจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 เปิดเผยว่า กรมชลประทานร่วมปฏิบัติภารกิจตามนโยบายของ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยเฉพาะค่าฝุ่นละออง PM2.5 ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยได้จัดส่งรถบรรทุกน้ำ จำนวน 10 คัน รวม 374 เที่ยวรถ ปริมาณน้ำ 2,220,000 ลิตร ทั้งยังสูบน้ำเพื่อเติมให้รถบรรทุกน้ำของหน่วยงานราชการอื่นๆ รวม 129 เที่ยวรถ ปริมาณน้ำ 774,000 ลิตร โดยทำการสูบน้ำจากแม่น้ำปิงบริเวณเชิงสะพานนวรัฐ ทั้งนี้ เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ
ด้าน นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากการประสานข้อมูลคุณภาพอากาศกับกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 5 เมษายน เวลา 05.00 น. พบว่า มีจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เฉลี่ย 24 ชม. ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง เกินค่ามาตรฐาน 50 มคก./ลบ.ม. และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เกินค่ามาตรฐาน 100 รวม 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย (ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย) เชียงใหม่ (ต.ช้างเผือก ต.ศรีภูมิ ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม) ลำปาง (ต.พระบาท อ.เมืองลำปาง ต.สบป้าด ต.บ้านดง ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ) ลำพูน (ต.บ้านกลาง อ.เมืองลำพูน) แม่ฮ่องสอน (ต.จองคำ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน) น่าน (ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ) แพร่ (ต.นาจักร อ.เมืองแพร่) พะเยา (ต.บ้านต๋อม อ.เมืองพะเยา) และตาก (ต.แม่ปะ อ.แม่สอด) โดยมีค่า PM2.5 ระหว่าง 55–124 มคก./ลบ.ม. ค่า PM10 ระหว่าง 69–165 มคก./ลบ.ม. และ AQI มีค่าระหว่าง 111–234 ซึ่งคุณภาพอากาศในภาพรวมอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ (ระดับสีแดง)
ทั้งนี้ ปภ. ได้ประสานจังหวัดเฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและประเมินสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการระดมเครื่องจักรกลสนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ โดยฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชื้นและลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ รวมถึงประสานการปฏิบัติป้องกันและควบคุมปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง
วันเดียวกัน นางภัทราวดี ปัญญา นายอำเภอพาน ได้รับแจ้งจากชุดลาดตระเวนประจำบ้านงิ้วเฒ่า ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแนวเขตติดต่อกับ อ.แม่สรวย และ อ.เวียงป่าเป้า ว่าขณะตระเวนในป่าพบนายอาชา เซอหมื่อ อายุ 28 ปี ชาวบ้านหมู่ 8 ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย พร้อมพวกรวมทั้งหมด 2 คน อยู่ในป่า โดยมีปืนแก๊ปยาวสำหรับล่าสัตว์ ไฟแช็ค ซากนกที่ยิงแล้ว 1 ตัว จึงได้ควบคุมตัวเอาไว้ดำเนินคดี เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ากำลังทำการลักลอบยิงนก เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวลงมาดำเนินคดีที่ สภ.พาน
นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผวจ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จากการที่เรียกประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัดและเร่งรัดไปยังอำเภอต่าง ๆ และได้มีการคาดโทษกำนันผู้ใหญ่บ้าน ทำให้จุดฮอทสปอตในหลายพื้นที่ลดลงจากกว่า 1000 จุด เหลือเพียง 400 จุดเท่านั้น และได้กำชับไปยังนายอำเภอทุกอำเภอไปแล้ว ขณะนี้มีกำลังหน่วยดับไฟป่าจากหลายพื้นของกรมป่าไม้ ส่งมาช่วยดับไฟป่าในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียงอีกจำนวน 40 คน และกองทัพภาคที่ 3 ได้ให้ ฮ.มาช่วยอีก 2 ลำ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาช่วยอีก 1 ลำ และแม้จุดฮอทสปอต จะลดลง แต่เราจะต้องกำชับอย่างต่อเนื่องเพราะยังคงมีผู้ที่ลักลอบเผาป่าอยู่ นอกจากห้ามแล้วก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ขณะนี้เราได้จับผู้ที่ลักลอบเผาป่าข้างทางไปแล้ว 14 ราย ดำเนินคดีแล้วปรับเล็กน้อยตามกฎหมายจราจร หากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือยังลักลอบเผาป่า ทางราชการก็จำเป็นจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี