เลือกตั้งผ่านมาแล้วจะร่วม 3 สัปดาห์ แต่ยังได้จำนวน สส.ไม่ชัดเจน ยังไม่รู้เลยว่าฝ่ายไหน พรรคอะไรจะได้จัดตั้งรัฐบาล ช่างดูสับสนวุ่นวายกันไปหมด แถมยังมีสาดโคลน สุมไฟความขัดแย้งกันไปมาอย่างต่อเนื่องทุกวัน แล้วเมื่อไหร่บ้านเมืองเราจะสงบสุขกันเสียที...เรื่องการเมืองน่าเบื่อ เรามาคุยกันเรื่องดีๆ ด้านอาชีพเกษตรกรรมกันดีกว่า โดยเฉพาะเรื่องที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นนโยบายที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้จริง นั่นคือโครงการปลูกข้าวโพดหลังทำนา ท่านกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านยืนยันว่าอย่างนั้น หลังจากไปเป็นประธานพิธีเปิดงานวันเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา และงานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ปี 2562 ณ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก จากเป้าหมายเดิม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองตาก อำเภอบ้านตาก อำเภอสามเงา และอำเภอวังเจ้า พื้นที่เป้าหมาย 6,163.38 ไร่ แต่จากผลการดำเนินงาน กลับพบว่ามีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการ 2,882 ราย พื้นที่ 25,070.75 ไร่ ในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ (ยกเว้นอำเภออุ้มผาง) โดยคาดว่าผลผลิตทั้งหมดที่จะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมนี้ มีปริมาณ 25,543 ตัน สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในโครงการฯ และนำรายได้เข้าสู่จังหวัดตากไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท...ท่านว่าการกระทรวงเกษตรฯ ยังบอกอีกว่า ความสำเร็จของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ในอำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในระหว่างที่ปลูกข้าวโพด แต่เมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวและขายข้าวโพดแล้วยังได้กำไรไร่ละ 2,300-2,500 บาท ส่วนในอำเภออื่นๆ ก็ได้กำไรไร่ละ 3,000 - 3,500 บาท เช่นกัน นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนามากกว่าการปลูกข้าวเหมือนที่เคยทำมา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปดูแลตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งขายผลผลิตอย่างครบวงจรซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปภาคการเกษตรของนายกรัฐมนตรี ที่เน้นส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชตามความต้องการของท้องตลาดและต้องมีตลาดรองรับ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่ท่านรัฐมนตรีว่าไว้ก็จะดีไม่น้อย เกษตรกรจะได้ลดความเสี่ยงจากการทำนามาปลูกพืชระยะสั้นอื่นๆ ที่ตลาดต้องการกันบ้าง...
ช่วงนี้เข้าสู่หน้าร้อน เตือนระวังเพลี้ยไฟพริก ทำลายมะม่วงช่วงติดผล โดย นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ฝากเตือนเกษตรกรชาวสวนมะม่วงว่า ในช่วงนี้เป็นฤดูกาลของมะม่วง ซึ่งขณะนี้หลายแห่งอยู่ในระยะติดผลมะม่วง ผลผลิตกำลังเจริญเติบโต และเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวได้ในระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม สำหรับแหล่งปลูกมะม่วงในบางพื้นที่ที่อยู่ในระยะออกดอกหรือติดผลอ่อน กรมส่งเสริมการเกษตร แนะนำให้เกษตรกรเฝ้าระวังการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟพริก ซึ่งศัตรูพืชชนิดนี้นอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตพริกแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่อผลผลิตมะม่วงด้วย โดยเพลี้ยไฟพริกจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ยอดอ่อนแห้ง ใบแตกใหม่แคระแกรนและร่วง ช่อดอกหงิกงอ ดอกร่วงไม่ติดผล หรือติดผลน้อย ดังนั้น หากพบการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟพริก กรมส่งเสริมการเกษตร แนะนำให้เกษตรกรตัดหรือเก็บส่วนที่พบเพลี้ยไฟไปทำลายนอกแปลง กรณีระบาดรุนแรง ให้พ่นด้วยสารฆ่าแมลง แลมป์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารเฟนโพรพาทริน 10% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยควรพ่นในระยะที่มะม่วงติดดอกอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ระยะเริ่มแทงช่อดอก และระยะเริ่มติดผลขนาดมะเขือพวง (ประมาณ 0.5- 1 ซม.) หากปีใดระบาดรุนแรงให้พ่นซ้ำก่อนระยะดอกบาน หลีกเลี่ยงการพ่นสารฆ่าแมลงในระยะดอกบาน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสร...ก็ฝากเตือนพี่น้องชาวสวนมะม่วงกันนะครับ หากพบปัญหาก็ปรึกษาสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่านนะครับ
วันก่อน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เข้ารับโล่รางวัลพร้อมประกาศเกียรติคุณ องค์กรที่มีความเป็นเลิศ การบริหารจัดการการเงินการคลัง ด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด หน่วยงานที่มีผลงานดีเยี่ยม จาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “องค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ ด้านการเงินการคลัง” ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ณ หอประชุมสโมสรกองทัพบก กรุงเทพฯ ขุนเกษตรา ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ...
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี