เพิ่มระดับป้องกัน
‘อหิวาต์แอฟริกา’
เป็นวาระแห่งชาติ
ทุ่มงบ148ล.รับมือ
ครม.ไฟเขียวงบกว่า 148 ล้านบาทยกระดับแผนป้องกันรับมือ“โรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร”เป็นวาระแห่งชาติ หลังระบาดลามหนักไปทั่วโลก เร่งดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคในไทย
เมื่อวันที่ 9เมษายน นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรของประเทศไทยเป็นวาระแห่งชาติตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอแล้ว เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร(African Swine Fever : ASF) แพร่ระบาดขยายเป็นวงกว้างขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน พบการระบาดใน 18ประเทศได้แก่ ทวีปยุโรป 10 ประเทศ ทวีปแอฟริกา 4 ประเทศ และทวีปเอเชีย 4 ประเทศ สถานการณ์การระบาดของโรค ASF ยังไม่สามารถควบคุมได้ ในจีนพบ 113 ครั้งใน 28 จังหวัด มองโกเลีย 10 ครั้งใน 6 จังหวัด เวียดนาม 221 ครั้งใน 17 จังหวัด และกัมพูชา 1 ครั้งใน 1 จังหวัด จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะระบาดเข้าสู่ไทยได้ทั้งจากการลักลอบนำผลิตภัณฑ์สุกรติดตัวของนักท่องเที่ยว ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้เข้มงวดจับกุมการลักลอบเคลื่อนย้ายสุกร ซากสุกร และผลิตภัณฑ์สุกรที่นักท่องเที่ยวนำมาบริโภคอย่างต่อเนื่อง
“ในวันนี้ครม.อนุมัติแผนใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรควงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 148,542,900 บาท โดยปีงบประมาณปี 2562 เป็นเงิน 53,604,900 บาท ใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในปีงบประมาณปี 2563 เป็นเงิน 52,419,000 บาท และปีงบประมาณปี 2564 เป็นเงิน 42,519,000 บาท โดยดำเนินการระยะเร่งด่วนในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค สำหรับระยะยาวให้ยกระดับมาตรการการควบคุมป้องกันโรคให้มีมาตรฐานสากล โดยจัดสร้างโรงทำลายซากสัตว์ติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อASFคงทนในสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งหากทำลายโดยการฝังจะต้องใช้พื้นที่จำนวนมากและการดำเนินการทำลายเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีโอกาสที่เชื้อจะตกค้างและแพร่กระจายในสิ่งแวดล้อม หรือหากทำลายโดยวิธีการเผาจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจึงจำเป็นต้องมีวิธีการกำจัดซากที่ติดเชื้ออย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข้างต้น”นายกฤษฏากล่าว
ทั้งนี้ประเทศไทย มีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 210,978 ราย เป็นเกษตรกรรายย่อย 208,192 ราย เลี้ยงสุกรขุน 80,000 ตัว สุกรพันธุ์ 63,000 ตัว ลูกสุกร 733,000 ตัว เป็นเกษตรกรรายใหญ่ 2,758 ราย เลี้ยงสุกรขุน 8,800,000 ตัว สุกรพันธุ์1,137,000 ตัวและลูกสุกร 4,670,000ตัว ดังนั้นหากเกิดการระบาดของโรคแล้วทำลายสุกร กรณีเกิดโรคร้อยละ30ของสุกรที่เลี้ยง เสียหายรวม 21,168,000,000 บาท กรณีเกิดโรคร้อยละ50 ของสุกรที่เลี้ยง เสียหายรวม 35,280,000,000 บาท หากเกิดโรคร้อยละ 80ของสุกรที่เลี้ยงเสียหายรวม 56,448,000,000 บาท และถ้าเกิดการระบาดทั้งหมดจะเสียหายรวม 70,560,000,000 บาท รวมถึงผลกระทบต่อการส่งออกเนื้อสุกรชำแหละ เนื้อสุกรแปรรูป เนื้อสุกรมีชีวิต ด้านธุรกิจอาหารสัตว์ ด้านธุรกิจเวชภัณฑ์อีกมหาศาล รวมถึงค่าใช้จ่ายในการพื้นฟูอาชีพและความเป็นอยู่เกษตรกรเป็นจำนวนมากและใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูเป็นเวลานาน
“หากประเทศไทย มีระบบการป้องกันโรคที่ดี รวมทั้งระบบการทำลายสุกรที่เป็นโรคและซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดเป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ จะเป็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากความต้องการสุกรของจีน เวียดนาม และกัมพูชา เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมก่อนเกิดโรคราคาสุกร มีชีวิตของประเทศไทย กิโลกรัมละ 60 บาท ภายหลังเกิดโรคคาดการณ์ว่า จะทำให้ราคาสุกรในประเทศมีราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 44,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นการยกระดับแผนเตรียมพร้อมรับมือโรค ASF เป็นวาระแห่งชาติ จึงส่งผลดีทั้งการป้องกันโรค การเผชิญเหตุ การฟื้นฟู ตลอดจนการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจจากการส่งออกสุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ขาดแคลนสุกร” นายกฤษฎา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี