ปภ.เผยตัวเลข 5 วัน เซ่นสงกรานต์ 297 ศพ เจ็บ 2,807 ราย พบ 8 จว.ไร้ตาย เชียงใหม่แชมป์สูญเสีย ส่วนอุดรธานี เสียชีวิตมากสุด แนะเมาไม่ขับ-ง่วงให้พัก “คสช.”ยันพร้อมดูแลประชาชนเดินทางกลับ
เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2562 ว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนน ประจำวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 472 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 54 ราย ผู้บาดเจ็บ 494 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 40.68 ขับรถเร็ว ร้อยละ 27.54 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จักรยานยนต์ ร้อยละ 78.85 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 67.16 บนถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 37.92 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.23 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 32.42 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 23.36
ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,040 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,308 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 1,092,735 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 235,838 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 64,926 ราย ไม่มีใบขับขี่ 57,452 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (26 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ขอนแก่น เชียงใหม่ พิษณุโลก มหาสารคาม อุบลราชธานี (จังหวัดละ 3 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (27 คน)
สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 5 วัน (11 – 15 เมษายน 2562) เกิดอุบัติเหตุ 2,702 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 297 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,807 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 8 จังหวัด โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (104 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี (14 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (104 คน)
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า วันหยุดสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ (16 เมษายน 2562) คาดว่าจะมีปริมาณรถหนาแน่น โดยเฉพาะเส้นทางหลักจากภูมิภาคต่างๆ ที่มุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจึงได้เน้นย้ำให้จังหวัดเพิ่มความเข้มข้นการปฏิบัติงานประจำจุดตรวจบนเส้นทางสายหลัก เส้นทางสายรอง ที่ประชาชนใช้เป็นทางลัด และทางเลี่ยงเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถนนทางตรง วิ่งสวนเลน และไม่มีเกาะกลาง จึงสามารถใช้ความเร็วได้สูง โดยให้เพิ่มความถี่ในการการเรียกตรวจ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง รถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะ รวมถึงกวดขันพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน ทั้งการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง
ในส่วนของการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้ประสานการเปิดช่องทางพิเศษและจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดเส้นทางสายหลัก สายรอง ที่มีการจราจรหนาแน่น อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ที่มีอาการอ่อนล้าจากเทศกาลสงกรานต์ การขับรถระยะทางไกลต่อเนื่องหลายชั่วโมง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุง่วงหลับใน จึงขอฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนน ไม่ขับรถเร็ว ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด หยุดพักรถทุก 1-2 ชั่วโมง ไม่ฝืนขับรถเมื่อมีอาการง่วงนอน เพื่อให้เดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
วันเดียวกัน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า มีประชาชนทยอยเดินทางกลับจากการเฉลิมฉลองและท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าการจราจรจะมีความคับคั่งมากตลอดวัน สำหรับมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” พบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับขี่ ในวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ดังนี้ จักรยานยนต์ พบการกระทำความผิด 45,508 ครั้ง เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยึดไว้ 1,166 คัน รถโดยสารสาธารณะ และรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 42,696 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบขับขี่ไว้ 2,291 คน ยึดรถยนต์ 457 คัน
ทั้งนี้ ตลอด 5 วันที่ผ่านมา (11-15 เมษายน 2562) เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการดื่มไม่ขับไว้แล้ว 5,318 คัน (แยกเป็นจักรยานยนต์ 3,907 คัน และรถยนต์ 1,411คัน) และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด จักรยานยนต์ 104,279 คน รถโดยสารสาธารณะ/รถยนต์ส่วนบุคล 73,139 คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี