“การผสมเทียม” หมายถึง การทำให้เกิดการปฏิสนธิโดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ เป็นวิธีที่นิยมใช้กับการเลี้ยงปศุสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุกร โค กระบือ แพะ แกะ ม้า ทำโดยการรีดน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์แล้วนำไปฉีดเข้าในอวัยวะสืบพันธุ์ของสัตว์ตัวเมีย เมื่อสัตว์ตัวเมียนั้นแสดงอาการของการเป็นสัดแล้วทำให้เกิดการตั้งท้องแล้วคลอดออกมาตามปกติ ซึ่งมีข้อดีหลายประการ ประกอบด้วย
1.ทำให้ประหยัดพ่อพันธุ์เมื่อรีดเก็บน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์ได้แต่ละครั้งสามารถนำมาละลายน้ำเชื้อแล้วแบ่งใช้ผสมกับสัตว์ตัวเมียได้จำนวนมาก
2.สามารถผสมพันธุ์สัตว์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก ต่างกันได้โดยไม่มีอันตรายจากการขึ้นทับของพ่อพันธุ์
3.ไม่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงพ่อพันธุ์
4.ตัดปัญหาในเรื่องขนส่งโคไปผสมเพราะสามารถนำน้ำเชื้อไปผสมได้ไกลๆ
5.ป้องกันโรคติดต่อทางระบบสืบพันธุ์ เช่น โรคแท้งติดต่อ
สำหรับประเทศไทยนั้น “สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์” มีหน้าที่กำกับดูแลการผสมเทียมโดย “ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ผสมเทียม” ให้เป็นไปอย่างได้มาตรฐาน ซึ่งกว่าจะมาเป็นน้ำเชื้อที่ได้รับการรับรองคุณภาพนั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่ “ขั้นคัดกรองพ่อพันธุ์” ต้องเป็นไปตาม “ประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่อง การนำสัตว์เข้ามาในศูนย์ผลิตน้ำเชื้อและการกักแยกสัตว์ไว้ตรวจสุขภาพ พ.ศ. 2560” มีขั้นตอนดังนี้
“การนำสัตว์เข้ามาในศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ” มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ดังนี้
- ต้องมาจากพื้นที่ที่ไม่เกิดโรคระบาด โดยได้รับการรับรองจากปศุสัตว์จังหวัดต้นทาง
- ในกรณีที่นำเข้าสัตว์พ่อพันธุ์จากต่างประเทศ ต้องมีใบรับรอง ตามระเบียบการนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศของกรมปศุสัตว์
- ต้องผ่านการกักตรวจสุขภาพและมีหลักฐานการตรวจทดสอบโรคจากห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ หรือห้องปฏิบัติการที่กรมปศุสัตว์รับรอง
“การกักแยกสัตว์ไว้ตรวจสุขภาพ” มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ดังนี้
- กักแยกสัตว์ที่จะนำเข้าศูนย์ผลิตน้ำเชื้อไว้ต่างหากไม่ปะปนกับสัตว์อื่น ที่ฟาร์มหรือแหล่งที่สัตว์อยู่ เป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน จึงเก็บตัวอย่างเลือด ซีรั่ม และอื่นๆ เพื่อตรวจโรค
- ระหว่างรอผลการตรวจโรค สัตว์ที่จะนำเข้าศูนย์ผลิตน้ำเชื้อต้องถูกกักแยกไว้ต่างหากตลอดเวลาโดยไม่ปะปนกับสัตว์อื่น
- เมื่อผลการตรวจโรคผ่าน สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ โดยนำไปแยกไว้ที่คอกกักกันของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ
- กักสัตว์ไว้ที่คอกกักกันของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน จึงเก็บตัวอย่างเลือด ซีรั่ม และอื่นๆ เพื่อตรวจโรคซ้ำ
- ระหว่างที่รอผลการตรวจโรค สัตว์ที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์ต้องถูกกักแยกไว้ต่างหาก ในคอกกักกันของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อตลอดเวลาโดยไม่ปะปนกับสัตว์อื่น และห้ามนำไปใช้ในการผลิตน้ำเชื้อ
- เมื่อผลการตรวจโรคผ่าน จึงนำสัตว์เข้าเขตเลี้ยงสัตว์ของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อได้
“ขั้นผลิตและเก็บรักษาน้ำเชื้อ” ต้องเป็นไปตาม “ประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่อง การรีดเก็บ และผลิตน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์สัตว์ พ.ศ.2560” มีขั้นตอนตั้งแต่
- ก่อนทำการรีดเก็บน้ำเชื้อทุกครั้ง ให้ทำความสะอาดบริเวณใต้ท้องและอวัยวะสืบพันธุ์ของพ่อพันธุ์ถ้าใช้สัตว์เป็นตัวล่อให้ทำความสะอาด โดยเฉพาะบริเวณส่วนท้ายที่จะให้พ่อพันธุ์ขึ้นทับ
- ผู้ทำการรีดเก็บน้ำเชื้อต้องตรวจดูจนมั่นใจว่าพ่อพันธุ์สะอาด มีสุขภาพดีพร้อม ที่จะทำการรีดเก็บน้ำเชื้อได้
- ในกรณีที่ใช้ช่องคลอดเทียม ทุกครั้งที่รีดเก็บน้ำเชื้อแล้วให้เปลี่ยนช่องคลอดเทียมอันใหม่ ช่องคลอดเทียมที่ใช้แล้วต้องล้างทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคก่อน
นำมาใช้อีกครั้ง
- อุปกรณ์ เครื่องแก้ว ที่สัมผัสน้ำเชื้อต้องล้างทำความสะอาด อบฆ่าเชื้อโรคและเก็บในตู้สะอาด
- การตรวจคุณภาพน้ำเชื้อและการบรรจุให้กระทำในห้องปฏิบัติการน้ำเชื้อเพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- น้ำยาเจือจางน้ำเชื้อต้องผ่านกรรมวิธีทำให้ปราศจากเชื้อโรค และมีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะเพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- มีการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำเชื้อหลังผ่านกระบวนการผลิต พร้อมทั้งจดบันทึกไว้เพื่อควบคุมคุณภาพมาตรฐานการผลิต
โดยมีหลักเกณฑ์ “น้ำเชื้อแช่แข็งโค กระบือ” มีตัวอสุจิมีชีวิตไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัวในหนึ่งโด๊ส “น้ำเชื้อแช่แข็งแพะ แกะ” มีตัวอสุจิมีชีวิตไม่ต่ำกว่า 40 ล้านตัวในหนึ่งโด๊ส “น้ำเชื้อสดสุกร” มีตัวอสุจิมีชีวิตไม่ต่ำกว่า 800 ล้านตัวในหนึ่งโด๊ส นอกจากนี้น้ำเชื้อที่ผลิตต้องไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่จะเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ
ทั้งนี้ ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ผสมเทียมต้องตั้งอยู่เป็นเอกเทศ ห่างจากโรงฆ่าสัตว์หรือตลาดค้าสัตว์ไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร มีรั้วรอบขอบชิดเพื่อควบคุมการเข้า-ออกของบุคคลและยานพาหนะ แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1.เขตเลี้ยงสัตว์ ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าเพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคไปแพร่แก่สัตว์ เขตนี้เป็นที่ตั้งของ “โรงเรือนพ่อพันธุ์” ซึ่งต้องมีพื้นที่กว้างพอให้พ่อพันธุ์เดินไป-มาและกินอาหารได้สะดวก ไม่มีน้ำขัง มีแสงสว่างและการระบายอากาศเพียงพอ มีที่บังแดด และมีกำหนดทำความสะอาดสม่ำเสมอ
2.เขตปฏิบัติการน้ำเชื้อ เป็นพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการผลิตน้ำเชื้อ ภายในมีอุปกรณ์รีดเก็บ ตรวจคุณภาพ และผลิตน้ำเชื้อ มีช่องสำหรับส่งน้ำเชื้อ ห้องผลิตน้ำเชื้อ ห้องเก็บสต๊อกน้ำเชื้อ และห้องจ่ายน้ำเชื้อ ทั้งนี้ห้องปฏิบัติการน้ำเชื้อต้องไม่ห่างจากบริเวณรีดเก็บน้ำเชื้อเพราะเมื่อรีดน้ำเชื้อแล้วต้องตรวจประเมินทันที อุปกรณ์ต่างๆ ที่สัมผัสกับน้ำเชื้อต้องล้างทำความสะอาด ห่อหรือปิดให้มิดชิดและนึ่งฆ่าเชื้อในอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสอย่างน้อย 30 นาที แล้วเก็บในตู้สะอาดจนกว่าจะนำมาใช้ เขตนี้ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าเช่นกัน
3.เขตสำนักงานติดต่อ เป็นจุดรองรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาติดต่อกับศูนย์ฯ โดยไม่ต้องผ่านเข้าไปในเขตเลี้ยงสัตว์หรือเขตปฏิบัติการน้ำเชื้อ นอกจากนี้ยังเป็นที่เก็บรวบรวมบันทึกข้อมูล ประวัติพ่อพันธุ์ การรีดเก็บและการผลิตน้ำเชื้อ บันทึกสต๊อกน้ำเชื้อ และการจ่ายน้ำเชื้อ เพื่อการดำเนินการของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อและการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์
ซึ่งการตั้งศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ผสมเทียมข้างต้นนั้นอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตาม “ระเบียบกรมปศุสัตว์ว่าด้วยการขอรับและออกใบรับรองมาตรฐานศูนย์ผลิตน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์สัตว์ พ.ศ.2560” โดยนอกจากการแบ่งเป็น 3 เขตข้างต้นแล้ว ยังต้องมีจุดรวบรวมหรือกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ อย่างถูกสุขลักษณะ รวมถึงต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพไม่ปล่อยหรือทิ้งน้ำเสียออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
ฉะนั้นขอให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่า..น้ำเชื้อที่ผ่านการรับรองจากกรมปศุสัตว์มีคุณภาพได้มาตรฐาน!!!..หรือสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและตรวจสอบรายชื่อศูนย์ที่ได้การรับรองมาตราฐานจากกรมปศุสัตว์ได้ที่ www.biotech.dld.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี