สภาวิศวกร จัดเสวนา “20 ปี สภาวิศวกรไทยในยุคดิสรัปชั่น” ณ รร.เอสซี ปาร์ค กรุงเทพมหานคร โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร เปิดเผยว่า จากข้อมูลจำนวนบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ กับการขอใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกร พบว่าในแต่ละปีแม้จะมีผู้เรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์จำนวนมาก แต่กลับมีจำนวนบัณฑิตที่มาขอใบอนุญาตน้อยลงทุกปี นับเป็นวิกฤติด้านวิศวกรไทยที่คนรุ่นใหม่กำลังไม่สนใจประกอบอาชีพวิศวกร ในขณะที่วิศวกรรุ่นเก่าก็ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกปัจจุบัน
“เหตุผลหนึ่งที่ทำให้วิชาชีพวิศวกรกำลังเข้าสู่วิกฤติคือ โครงสร้างบทเรียนที่มีการแบ่งย่อยเป็นสาขา หรือเป็นภาควิชา การเน้นการเรียนการสอนในห้องเรียน
ห้องปฏิบัติการ การเป็นวิชาชีพแยกตัวที่ไม่มีการเรียนรู้ในสาขาวิชาชีพอื่นซึ่งในอนาคตการเรียนวิศวกรรมศาสตร์จะต้องเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อให้สามารถประสานงานได้กับทุกฝ่ายและทำงานได้จริง”ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว
ขณะที่ ศ. (กิตติคุณ) นพ.อุดม คชินทร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า วิศวกรนั้นถือเป็นอาชีพพื้นฐานหลักในการผลักดันประเทศ แต่ปัจจุบันคนที่เรียนจบวิศวกรกลับไปประกอบอาชีพอื่นและประสบความสำเร็จมากมาย แสดงให้เห็นถึง “การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิสรัปชั่น (Disruption : ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการทำงานแทนมนุษย์ในหลากหลายอาชีพ)” ซึ่งผู้ที่จะอยู่รอดได้คือคนหรือองค์กรที่ปรับตัวได้เท่านั้น
ทั้งนี้ในภาคธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดตั้งแต่ปี 2000 โดยยกตัวอย่างเรื่องการศึกษาในต่างประเทศที่มีการปรับตัวมากมาย อาทิ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ที่ปัจจุบันมีการลดสาขาวิชาเรียนลงเหลือเพียง 5 คณะเท่านั้น ซึ่งพลวัตโลกในศตวรรษที่ 21 จะเปลี่ยนเร็วมาก ตลาดแรงงานจะมีความต้องการเปลี่ยนไป ในฐานะสถาบันการศึกษา หรือองค์กรวิชาชีพ สิ่งสำคัญคือ ต้องปรับตัว หากไม่ปรับตัวจะอยู่ไม่ได้
“โรงงานในปัจจุบันนี้ใช้เครื่องจักร และ AI เข้ามาช่วยในการทำงาน ปัญหาที่พบของไทยตอนนี้คือ คนรุ่นใหม่ที่จบวิศวะ หรืออาชีวะ ไม่สามารถออกมาทำงานจริงๆ ได้ ไม่ตอบโจทย์การทำงาน ไม่ตอบโจทย์การแข่งขันของประเทศ แนวโน้มของโลกในศตวรรษที่ 21 คือ มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ตอนนี้ประเทศไทยมีความเสี่ยงของแรงงานที่จะถูก Automation (ระบบอัตโนมัติ) และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) แทนที่ในปี 2030 ประมาณ 72%” อดีต รมช.ศึกษาธิการ ระบุ
ด้าน ดร.สุทธิพงษ์ สุวรรณสุข ผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ให้ความเห็นว่า ภาคการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ต้องปรับเปลี่ยน โดยต้องมองไปล่วงหน้าประมาณ 3-10 ปี แล้วปรับหลักสูตรมหาวิทยาลัยให้สามารถผลิตวิศวกรที่สามารถตอบโจทย์ในอีก 3-10ปีข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตามพบว่า “ปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์งานได้ คือลักษณะของคนรุ่นใหม่เองที่มีความอดทนในการทำงานน้อย” ซึ่งเป็นเรื่องของทักษะด้าน Soft Skill (พฤติกรรมหรือบุคลิกภาพ)
“การปรับเปลี่ยนนั้นหลักสูตรที่เป็น Specific Engineering (วิศวกรรมเฉพาะทาง) ยังจำเป็น แต่ควรต้องเพิ่มเรื่อง Multi-Skill (ความสามารถทำงานได้หลากหลาย) หรือ Soft Skill ให้กับวิศวกรรุ่นใหม่ด้วย ซึ่งจะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ จะต้องสร้างหรือพัฒนาวิศวกรเพื่อให้ตอบโจทย์สถานประกอบการใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มต่างชาติ กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และกลุ่มธุรกิจ SME (กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม) ให้ได้” ดร.สุทธิพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุลคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลักสูตรการเรียนการสอนด้านวิศวกรรมต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สามารถผลิตคนที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม โดยอาจารย์ยังมีหน้าที่สอนด้านพื้นฐาน ในขณะที่มหาวิทยาลัยก็ต้องพร้อมให้บริการความรู้ต่างๆ บนแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ มองว่าในอนาคต High Skill (ทักษะชั้นสูง) จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในสังคมอุตสาหกรรม ซึ่งทักษะทางวิชาการยังมีความจำเป็น และการเรียนรู้ในอนาคตจะต้องเป็น Life Long Learning (การเรียนรู้ตลอดชีวิต)
ดร.ธเนศ วีระศิริ กรรมการสภาวิศวกร และนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักศึกษาสามารถเรียนรู้บทเรียนที่อาจารย์สอนจากอินเตอร์เนตได้ ทำให้การเรียนการสอนในอนาคตต้องปรับเปลี่ยนโดยมองว่าสภาวิศวกรควรเข้ามาสนับสนุนในลักษณะที่เป็น outcome based(มุ่งผลลัพธ์) และคาดหวังความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการให้ความรู้ว่าวิศวกรที่ดีควรเป็นผู้ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี