กรมส่งเสริมการเกษตร ชวนเกษตรกร ศพก. แปลงใหญ่ รวมพลังสร้างมูลค่า เปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจากไร่นา ให้เกิดประโยชน์ ลดการเผา ลดปัญหาหมอกควัน สร้างสมดุลระบบนิเวศ รักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยการเพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ในทุกมิติ เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นายสําราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีมหามงคลยิ่งของแผ่นดินไทย และพสกนิกรชาวไทย กรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้จัดทำโครงการ “โครงการรวมพลังสร้างมูลค่าจากไร่นาสู่สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” และเชิญชวนเกษตรกร ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เกษตรกรแปลงใหญ่ และเกษตรกรทุกหมู่เหล่า รวมพลังเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเรามีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นจำนวนมากถึง 43 ล้านตันต่อปี และยังใช้ประโยชน์เป็นส่วนน้อย ที่เหลือถูกปล่อยทิ้ง หรือเผาทิ้ง รวมทั้งปัญหาวิกฤติหมอกควันปกคลุม ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งสาเหตุหนึ่งคือการเผาเศษวัสดุในพื้นที่การเกษตร ซึ่งการเผานอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก รวมทั้งการเผาเป็นการทำลายโครงสร้างและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำให้ดินเสื่อมโทรม
สําราญ สาราบรรณ์
การดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ภายใต้โครงการนี้ โดยมีศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และ ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ที่มีครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ใช้กลไกการดำเนินการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมสร้างสมดุลระบบนิเวศในชุมชนอย่างยั่งยืน
สำหรับกิจกรรมที่กรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินการร่วมกับ ศพก. ได้แก่ การอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่อง การส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่เกษตรและการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การนำวัสดุมาจำหน่ายเป็นพลังงานชีวมวลผ่านการเชื่อมโยงตลาด เป็นการสร้างทางเลือกในการเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้การเกษตรให้เกิดมูลค่า โดยมีทางเลือกในการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ 1.การไถกลบตอซังฟางข้าว ใบอ้อย หรือเศษซากพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน คืนชีวิตให้ดิน ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุน ได้รับผลผลิตสูง มีรายได้เพิ่มขึ้น 2.เปลี่ยนเศษตอซังฟางข้าว หรือเศษวัสดุการเกษตรอื่นๆ ที่เหลือทิ้งในแปลงเพาะปลูก มาทำปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก เพื่อใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดต้นทุนการผลิต และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.เปลี่ยนเศษวัสดุการเกษตร มาใช้เลี้ยงสัตว์ เช่น นำมาอัดก้อน หรือนำมาทำอาหารหมักเพื่อใช้เลี้ยงโค 4.เปลี่ยนวัสดุการเกษตรมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานทดแทน โดยนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการอุตสาหกรรม หรือใช้ทำอาหารในครัวเรือน 5.เปลี่ยนวัสดุในการเพาะเห็ด 6.เปลี่ยนเศษใบไม้ เศษฟาง เศษหญ้านำมาคลุมบริเวณโคนต้นพืช เก็บรักษาความชื้น “อุ้มน้ำ อุ้มปุ๋ย” 7. เปลี่ยนเปลือกซังข้าวโพดหรือฟางมาทำวัสดุเพาะปลูก โดยได้เริ่มนำร่องโครงการทดลองในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคเหนือ สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้ถึง 35,664 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 142 ล้านบาท (ราคาปุ๋ยอินทรีย์เฉลี่ยกิโลกรัมละ 4 บาท) และการจำหน่ายวัสดุเหลือใช้การเกษตร เช่น แกลบ ชานอ้อย เศษไม้กากปาล์ม กากมัน ซังข้าวโพด เศษไม้ ขยะ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานชีวมวล
“กรมส่งเสริมการเกษตร จึงขอเชิญชวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และมีส่วนช่วยผลักดันให้คนไทยหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพด้านการเกษตร”อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี