ฟ้องแพ่ง ทบ.! ทนาย-ญาติร้องศาลเรียกค่าเสียหายคดีวิสามัญฯ‘ชัยภูมิ-อะแบ’
22 พ.ค. 2562 ที่ศาลแพ่ง รัชดาภิเษก นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากมารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตโดยอ้างว่าผู้ตายจะใช้ระเบิดด้ามขว้างใส่เจ้าหน้าที่ทหาร เหตุเกิดเมื่อต้นปี 2561 เข้ายื่นฟ้องเพื่อให้กองทัพบก (ทบ.) อันเป็นหน่วยงานต้นสังกัดชดใช้ค่าเสียหาย เนื่องจากมีพยานยืนยันว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฝ่ายทหารกล่าวอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว
นายรัษฎา กล่าวว่า กรณีของนายชัยภูมิ ซึ่งที่เกิดเหตุบริเวณด่านรินหลวง มีกล้องวงจรปิด 9 ตัว ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทหารก็ควรที่จะแสดงพยานหลักฐานต่อศาลว่านายชัยภูมิได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารก่อนจริงหรือไม่ มีความพยายามจะขว้างระเบิดใส่จริงหรือไม่ แต่ทางฝ่ายทหารไม่เคยนำมาแสดงต่อศาล แม้ว่าผู้บังคับบัญชาในระดับแม่ทัพภาคจะบอกว่าได้ดูกล้องวงจรปิดแล้วแต่กลับไม่นำมาแสดงที่ศาล แสดงว่ามีอะไรที่ปกปิดอยู่ใช่หรือไม่ ดังนั้นการฟ้องคดีแพ่งนี้ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารที่อ้างว่าทำไปเพื่อป้องกันตัวจะต้องพิสูจน์ และแสดงพยานหลักฐานต่อศาลในเรื่องนี้
นายรัษฎา กล่าวต่อไปว่า ตนไม่รู้สึกเป็นกังวล โดยเหตุที่ต้องฟ้องเพราะกรณีนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชีวิตและร่างกายของประชาชน และเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ดังนั้นเมื่อรัฐถ้ากระทำผิดก็ต้องรับผิดชอบและเยียวยาค่าเสียหาย ไม่เช่นนั้นประชาชนที่ได้รับความเสียหายจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม และก่อให้เกิดปัญหาความรู้สึกของประชาชนที่ไม่ดีต่อรัฐ ซึ่งบ่อเกิดของความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ไม่ต่างไปจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ขณะที่ในส่วนของคดีอาญาหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการรวบรวมสำนวนการสอบสวนจะต้องส่งคำสั่งศาลที่มีการไต่สวนเหตุเสียชีวิต พร้อมสำนวนการไต่สวนไปให้พนักงานอัยการเพื่อส่งต่อไปยังพนักงานอัยการศาลทหารดำเนินการตามที่ได้แจ้งความไว้ข้อหาฆ่าผู้อื่น เพราะสำนวนคดีทำเป็นสำนวนไต่สวนการตาย และสำนวนฆ่าผู้อื่น ดังนั้นพนักงานอัยการมีหน้าที่ในการทำสำนวนเพื่อส่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล เมื่อทหารคนนั้นตกเป็นจำเลยต่อศาลก็ต้องพิสูจน์ต่อศาล
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้มีปัญหาที่กฎหมายนี้ปิดช่องไม่ให้ประชาชนเข้าไปเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการศาลทหาร และประชาชนจะฟ้องศาลทหารเองก็ฟ้องไม่ได้ เพราะกฎหมายทหารยังจำกัดสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงความยุติธรรมอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อศาลไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว สำนวนพร้อมกับคำสั่งศาลในการไต่สวนการตาย ถูกส่งไปพนักงานอัยการ
“ดังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องไปตามกันว่าพนักงานสอบสวนในพื้นที่ได้รวบรวมสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการศาลทหารแล้วหรือยัง ถ้าส่งแล้ว ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ตรงไหนแล้ว ได้ฟ้องคดีให้ประชาชนแล้วหรือยัง ทั้งนี้ต้องถือว่าคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายชาติพันธุ์ เผ่าพันธุ์ใด คนทุกคนเสมอเหมือนกัน นายชัยภูมิ ถึงเป็นชาติพันธ์ลาหู่แต่ก็กำเนิดบนผืนแผ่นดินไทย ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้เช่นเดียวกัน” นายรัษฎา กล่าว
นายรัษฎา ระบุว่า โดยเมื่อทำคำฟ้องยื่นต่อศาล ศาลจะส่งสำเนาคำฟ้องให้กองทัพบกให้การแก้คดี ซึ่งมีทนายความแก้ต่าง ถ้ากองทัพบกพิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารทำไม่ชอบ ก็ควรที่จะรับความจริงและชดใช้เยียวยาค่าเสียหายให้คดีแพ่งยุติไป ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่กองทัพบกควรทำ แต่ถ้าคิดว่าทหารไม่ผิดจะต่อสู้แทนทหาร ก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็น ก็เป็นสิทธิของกองทัพบกในการต่อสู้คดี
“ทีมทนายความที่ทำงานนี้มีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความยุติธรรมจากศาล อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นว่าเรื่องสำคัญภายใต้สถานการณ์หลังรัฐประหาร บางครั้งเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจ การผู้ปฏิบัติการตั้งด่านตรวจค้น และมอบอาวุธร้ายแรงไว้กับพลทหาร จะต้องพิจารณาเป็นอันแรกในเรื่องของวุฒิภาวะ การที่ลุแก่อำนาจ ใช้อาวุธปืนยิงใส่ประชาชน ดังนั้นรัฐต้องทบทวนสิ่งนี้” นายรัษฎา ระบุ
ขณะที่นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้ดูแลนายชัยภูมิ กล่าวถึงสาเหตุที่ใช้ช่องทางเรียกร้องความยุติธรรมผ่านศาลแพ่งว่า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ที่ผ่านมาพยายามหาความยุติธรรมเต็มที่แล้วแต่สุดท้ายก็ได้เท่านี้ ซึ่งเมื่อเหลือช่องทางศาลแพ่ง ในการเรียกร้องค่าเสียหายก็ต้องดำเนินการ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรเมื่อมีช่องทางก็จะต้องทำเพราะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องและแม่ เพราะคนหนึ่งคนตายไม่ใช่หมูหมาตาย ทุกวันนี้ในสื่อหมาตัวหนึ่งตายยังระดมทุนกันเพื่อทำศพ แล้วนี่คนทั้งคนตายพร้อมกับเงื่อนงำต่างๆ มากมาย
อย่างไรก็ตามตนยอมรับว่าความหวังเลือนรางตั้งแต่วันที่เกิดเหตุแล้ว เนื่องจากพบความพยายามที่จะกีดกันไม่ให้ครอบครัวเดินสู่กระบวนการต่างๆ ได้ แม้กระทั่งบุคคลก็ได้รับผลกระทบ เช่น สมาชิกกลุ่มรักษ์ลาหู่ผู้ดูแลน้องชัยภูมิอีกคนก็โดนจับในข้อหาสมคบคิดทั้งที่ไม่มีหลักฐาน และไม่ให้ประกันตัวต้องติดคุกนานก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสินว่าไม่มีความผิด
“ความยุติธรรมคือต้องไม่ปกป้องคนใดคนหนึ่งต้องเอาคนผิดมาลงโทษ และไปใส่ความคนที่พูดไม่ได้เพราะเสียชีวิตแล้ว มีแต่คำกล่าวหา ว่ามียาเสพติด ต่อสู้เจ้าหน้าที่ มีระเบิด โดยไม่เปิดเผยหลักฐานที่มีอย่างกล้องวงจรปิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความยุติธรรม แต่เราทำอะไรไม่ได้ในเมื่อกระบวนการของรัฐบาล ของบ้านเมือง มีให้เราเท่านี้ เราก็จะต้องเดินไปจนสุดทางที่มีให้เรา” นายไมตรี กล่าว
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 โดยนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ถูกทหารหน่วยร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ยิงเสียชีวิตที่ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อมาในวันที่ 23 มี.ค. 2560 พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 (ในขณะนั้น) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าหลังจากดูภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นพลทหารใช้อาวุธปืนยิงไปเพียง 1 นัดในจังหวะที่นายชัยภูมิทำท่าเหมือนกำลังจะขว้างระเบิด ซึ่งสมเหตุสมผลในการป้องกันตัว และหากเป็นตนอาจยิงมากกว่านั้นก็ได้
วันเดียวกันยังมี นางอะหมี่มะ แซ่หมู่ มารดาของนายอะเบ แซ่หมู่ ชาวไทยเชื้อสายลีซู ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เช่นกัน เดินทางมายื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้บุตรชายด้วย โดยกรณีของนายอะแบเกิดขึ้นเมื่อ 15 ก.พ. 2560 หรือ 1 เดือนก่อนหน้าคดีของนายชัยภูมิ และทั้ง 2 คดียังมีความเหมือนกันตรงที่ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี