ตั้งแต่เริ่มนโยบาย Thailand 4.0 ทุกภาคส่วนก็ตื่นตัวตามไปด้วย ยิ่งยุทธศาสตร์ 20 ปีที่มุ่งนำเทคโนโลยีระดับ AI มาใช้ในการพัฒนาประเทศ หวังให้ประเทศพัฒนาไปสู่เป้าหมายมั่งคั่งและยั่งยืน ภายใต้เงื่อนไขและอุปสรรคนานัปการ หนึ่งในนั้น คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
เช่นเดียวกับภาคการเกษตรที่เกษตรกรก้าวสู่วัยผู้สูงอายุ การยอมรับและการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยีระดับ AI และ LoT เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังกำลังกันพอสมควร ในขณะที่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมต่อการยอมรับเทคโนโลยีระดับที่เรียกว่า Smart Farm เข้ามาสู่อาชีพการเกษตรน้อยลงไปมาก คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่หันไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการกันมากกว่าที่จะกลับเข้ามาสู่ภาคการเกษตร เนื่องจากเหตุผลหลายประการทั้งผลตอบแทนและสภาวะแวดล้อมของการทำงาน และเมื่อแรงงานภาคการเกษตรเป็นสิ่งที่หายาก การนำเทคโนโลยีระดับ AI และ LoT มาใช้ในการเกษตรจึงมีหลายกลุ่มที่มองเห็นโอกาส และพร้อมที่จะพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ
ผมเองมีโอกาสได้พบกับนักพัฒนา Application เพื่อใช้ในการเกษตรหลายกลุ่ม ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพืชไร่และพืชสวน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีสูง และผมมองเห็นความกระตือรือร้นในการทำงานของกลุ่มคนเหล่านี้ เช่นเดียวกันที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยและสนทนากันวิศวกรการเกษตรระดับหัวกะทิของกรมวิชาการเกษตร หลักคิดและวิธีการในการทำงานไม่ต่างกันมากนัก แต่ในมุมมองของวิศวกรการเกษตรของกรมวิชาการเกษตรจะมีความซับซ้อนมากกว่า เรียกว่าคิดไปไกล คิดไปลึก จนบางครั้งผมก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ที่เรียกกันว่า Smart Farm มันคืออะไรกันแน่ แต่ละคนต่างก็นิยามความหมายของตนเอง รับรองผลงานของตนเองว่าเป็น Smart Farm การที่สามารถควบคุมในระยะไกลได้ เรียกว่าเป็น Smart Farm หรือไม่ การตั้งเวลาในการให้น้ำ ให้ปุ๋ยได้ เป็น Smart Farm หรือไม่ หรือ การคำนวณความต้องการธาตุอาหารได้ เป็น Smart Farm หรือไม่ ต่างก็เป็นประเด็นให้ได้ถกเกียงกันในเชิงวิชาการ
ในมุมของผมที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่อง AI และ LoT หลังจากที่ได้พูดคุยกับฝ่ายที่เชี่ยวชาญด้านนี้แล้ว มีความเห็นว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรให้เป็น Smart Farm จำเป็นต้องมองความเป็นจริงของชีวิต หากนักเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่มีข้อมูลความต้องการของพืชในแต่ละระยะการเจริญเติบโต ไม่เข้าใจในพัฒนาการของพืช ไม่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาให้ระบบการเกษตรเป็น Smart Farm ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะเมื่อไม่มีปลายทาง วิธีการที่จะพัฒนามารองรับ ย่อมไม่เกิดขึ้นจริง กลายเป็นว่าเวที Smart Farm เป็นเวทีของการลองของกันมากกว่า อันที่จริงแล้วคำตอบที่ชัดเจนของการพัฒนา Smart Farm จะต้องเริ่มจากงานวิจัยพื้นฐานที่มีความชัดเจน ตอบคำถามของการกำหนดเงื่อนไขในการใช้ AI และ LoT มาใช้กับภาคการเกษตร
อีกทั้งระบบทำการเกษตรที่เป็นหุ้นส่วนกับลมฟ้าอากาศ และพื้นที่ขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นประเด็นท้าทายความสามารถของเทคโนโลยีไปได้อีก ทำอย่างไรจะควบคุมเทคโนโลยีได้เมื่อดินฟ้าอากาศแปรปรวน ทำอย่างไรจะทราบได้ว่าสถานการณ์แบบใด ค่าเท่าใด จึงจะทำให้เกิดการระบาดของโรคแมลงในพืชแต่ละชนิด และระดับไหนจึงจะสามารถลงทุนได้โดยไม่ขาดทุน ทั้งหมดยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เมื่อคำตอบไม่ชัด การพัฒนา AI และใช้ประโยชน์จาก LoT สำหรับภาคการเกษตร จึงเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบให้ได้ และมีความชัดเจนในการดำเนินการไปพร้อมกันทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และเกษตรกร ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมุ่งหน้าสู่ Smart Farm ตามความหมายที่ตัวเองคิดเองเออเอง ในที่สุดแล้ว จะเห็นความล่มสลายของภาคการเกษตรไทยรออยู่
เบื้องหน้าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ผมก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นจริง
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี