ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่การจัดตั้งรัฐบาลในสมัยใดจะมีปัญหาเรื่องการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนเกือบจะตั้งรัฐบาลไม่ได้เท่ากับสมัยนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีดีอะไร ที่หลายพรรคอยากจะมาดูแล...
ไม่ต้องพูดถึงฐานคะแนนเสียง ไม่ต้องพูดถึงการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวบ้านที่จะมาแก้ปัญหาทำให้ราคาพืชผลสูงขึ้น ไม่ต้องพูดถึงงานที่ต้องมาสานต่อ...เพราะนั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง....
พรรคใดจะมาดูแลกระทรวงเกษตรฯ ใครจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ขอให้มีความจริงใจในการแก้ปัญหาภาคการเกษตรอย่างแท้จริง แต่ถ้าหวังจะมาแสวงหาผลประโยชน์จากเกษตรกร....ขอให้มีอันเป็นไป....
ในระหว่างนี้..ที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเสียใจ และเสียดายต่อการจากไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ และมีการนำเสนอผลงานและเกียรติประวัติของท่านผ่านสื่อต่างๆ อย่างมากมาย ที่สำคัญ ๆ ที่กล่าวถึงกันมาก คือ โครงการอีสต์เทิร์นซีบอร์ด ที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มต้นการเป็นประเทศอุตสาหกรรม โครงการปิโตรเคมีที่ทำให้ประเทศไทยโชติช่วงชัชวาลย์ ด้วยพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ นโยบายการเมืองนำการทหาร เลิกทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ ทำให้นักศึกษาที่หลบหนีเข้าป่าไปเมื่อปี 2519 กลับออกมาเรียนต่อ ทำการทำงาน และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างเสรี
อีกผลงานหนึ่งที่อยากย้อนกลับไปดู แม้จะไม่ใช่ด้านการเกษตรโดยตรง แต่เป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรอยู่หลายส่วนนั่นคือ “โครงการสร้างงานในชนบท” หรือ กสช.
อันที่จริง โครงการสร้างงานในชนบทนั้น เป็นโครงการที่สานต่อโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยเหลือประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง หรือ “โครงการเงินผัน” สมัยรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2518 และดำเนินการต่อเนื่องในปีต่อๆ มาในรัฐบาลของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ รัฐบาล พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในชื่ออื่นๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนให้มีงานทำ หรือ พปช. และ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชนบทที่ประสบภัยธรรมชาติ หรือ กฟป.
จนกระทั่ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2523 ต้องมีการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้ที่เหมาะสมเป็นคู่แข่งกันอยู่ 2 ท่าน คือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในระยะแรก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้ประกาศว่าตนเองพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนอย่างที่ใครบางคนในยุคนี้ประกาศตนในทำนองนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อท่านได้ใคร่ครวญ และวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้านท่านก็เปลี่ยนใจ ดังข้อความที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ค่ายหนึ่งว่า
“การที่ทหารจะเป็นนายกฯ ผมไม่อยากเห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย เพราะความจำเป็นและสภาพแวดล้อมบังคับ ถ้าได้ทหารที่ดีมาเป็นนายกฯ และคนที่รู้เศรษฐกิจดีอย่างผมไปเป็นลูกน้อง เราก็จะได้ช่วยกันทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเสียที ผมว่าอย่างนี้ดีที่สุด มานั่งถือยศถือศักดิ์อยู่ไม่ได้ ต้องทำงานกันแล้ว” (2 มีนาคม 2523)
จากนั้นได้มีการพบปะเจรจากันระหว่าง พลเอกเปรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ นายบุญชู โรจนสถียร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคกิจสังคม ข่าวว่าเป็นการเจรจาถึงแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยพรรคกิจสังคมต่อรองให้พลเอกเปรม นำนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพรรคกิจสังคมไปดำเนินการโดยเฉพาะโครงการเงินผัน ซึ่งกลายมาเป็น โครงการสร้างงานในชนบท สมัยรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มี บุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ
โครงการสร้างงานในชนบท ดำเนินการทุกปี (2523-2531) ตลอดระยะเวลาที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย วัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือ ให้ราษฎรที่ยากจน ไม่มีงานทำ เพราะประสบภัยแล้งทำการเกษตรไม่ได้ ให้มีงานทำ มีรายได้ ป้องกันการอพยพเข้ามาหางานทำในเมือง การสร้างงานดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นการจ้างแรงงานสร้างแหล่งน้ำและสิ่งสาธารณประโยชน์ในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านมีรายได้ มีแหล่งน้ำทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค เป็นการกระจายรายได้ให้กับประชากรในชนบท
ที่ว่ามานี้ เพียงอยากจะยกเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า นักการเมืองในอดีตอย่าง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นท่านคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ และ นายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารอย่าง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านก็ยอมรับนโยบายที่ดีของพรรคการเมืองอื่นได้ ถ้านโยบายนั้นสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้
นักการเมืองวันนี้...ทำได้ป่ะล่ะ
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี