นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังวัดเลย เดินทางไปยังสถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวง สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยเข้าชมแปลงสาธิตและแปลงเกษตรทดลอง นายนพดล ลานทะจันทร์ เกษตรบ้านนาน้อย ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ ที่ทดลองทำ รั้วรังผึ้งในพื้นที่รอบภูหลวง ซึ่งงานนี้ รั้วรังผึ้ง มีประสิทธิภาพในการป้องกันพื้นที่จากช้างป่าได้มากกว่า 80% สามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้จากการผลิตน้ำผึ้งแท้ 100% ให้กับเกษตรกร และลดความรุนแรง เพิ่มความเข้าใจในการเรียนรู้อยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและช้างป่า
นางรชยา อาคะจักร นักวิจัยสถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวง กล่าวว่า จากปัญหาที่ช้างจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จำนวนมาก ในขณะนี้ ประมาณ 140 ตัว ออกไปหากินนอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอำเภอวังสะพุง อำเภอภูหลวง อำเภอด่านซ้าย อำเภอนาแห้ว จนมีปัญหากับชาวบ้าน เพราะช้างนั้นเข้าไปกินอาหาร พืชผลทางการเกษตร จนจังหวัดต้องหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
ช้างป่ากับผึ้ง (Elephant And Bees) เริ่มต้นสถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวงได้ทำการศึกษาคู่มือการทำรั้วรังผึ้ง (Beehive fence construction manual) โดย Dr.Lucy E. King. (2012) ซึ่งได้เริ่มต้นจากแนวความคิดซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวแซมบุรู ประเทศเคนยา พบว่า บ่อยครั้งที่ช้างป่าจะวิ่งหรือเดินหนีและออกห่างจากฝูงผึ้งและรังผึ้งหรือพื้นที่ที่มีผึ้งอาศัยอยู่ ดังนั้นจึงได้นำแนวความคิดนั้นมาประยุกต์ใช้โดยการจัดทำรังผึ้งให้เป็นรั้วคือการนำกล่องรังผึ้ง (กล่องไม้) มาแขวนบนคานและใช้เชือกหรือลวดมาเชื่อมต่อกันระหว่างกล่องผึ้งแต่ละกล่องจนเป็นแนวรั้ว เพื่อขัดขวางหรือเปลี่ยนเส้นทางการเดินของช้างป่าหรือล้อมรอบแปลงปลูกพืชเกษตร จากคลื่นเสียงความถี่ต่ำของการบินของผึ้งมีผลต่อการระแวดระวังภัยของช้างป่า โดยช้างป่าที่มีประสบการณ์ด้านลบกับผึ้ง(ความหวาดกลัว)หรือที่เคยพบเจอผึ้งในป่าจะเกิดความระแวดระวังเพราะถูกรบกวน ทั้งนี้ผึ้งจะบินวนรอบๆที่ดวงตา, ปลายงวงและบริเวณผิวหนังที่บางตรงส่วนหลังใบหูของช้างป่า (sensitive place) ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ช้างป่าเกิดความรำคาญและทำให้หลีกเลี่ยงกันได้ ซึ่งความรู้สึกด้านลบนี้จะถูกถ่ายทอดพฤติกรรมสู่ครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น
วัตถุประสงค์หลักของการใช้รั้วรังผึ้งป้องกันช้างป่า เพื่อป้องกันพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยจากช้างป่าที่ออกมาหากินในพื้นที่ชุมชน เพื่อส่งเสริมอาชีพทางเลือกที่ยั่งยืนแก่เกษตรกรโดยการเลี้ยงผึ้งเพื่อจำหน่ายน้ำผึ้งควบคู่ไปกับการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดข้อขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าและให้ชุมชนเรียนรู้อยู่ร่วมกันเป็นแนวร่วมในการอนุรักษ์ช้างป่าอย่างยั่งยืน
จากนั้น ในปี พ.ศ. 2557 สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวง ศึกษาคู่มือและศึกษาการใช้รั้วรังผึ้งเพื่อป้องกันพื้นที่การเกษตรจากช้างป่าโดยทำการทดลองใช้รั้วรังผึ้งป้องกันพื้นที่การเพาะปลูกข้าวโพดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 ที่แปลงของเกษตรกรชื่อนางสาน จุตะโน ราษฎรบ้านนาน้อย ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 10 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำกินที่ช้างป่าออกมาหากิน และทำลายพืชเกษตรที่ปลูกเป็นประจำทุกๆ ปี พบว่ารั้วรังผึ้งสามารถป้องกันพื้นที่ได้โดยช้างป่าเขามาใกล้แปลงทดลอง 1 ครั้ง โดยหลีกเลี่ยงเส้นทางด่านเดิมเนื่องจากมีแนวรั้วรังผึ้งขวางอยู่ และเกษตรกรสามารถเก็บผลผลิตข้าวโพดได้
พ.ศ.2558 สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวงได้รับทุนเผยแพร่และนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เรื่องการใช้รั้วรังผึ้งเพื่อป้องกันพื้นที่การเกษตรจากช้างป่า โดยทางสถานีฯได้เผยแพร่และศึกษาประสิทธิภาพการใช้รั้วรังผึ้งเพื่อป้องกันพื้นที่การเกษตรจากช้างป่าที่แปลงทดลองปลูกข้าวโพดและนาข้าว นายพิมพา คำมานิตย์ ราษฎรบ้านนาน้อย ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ผลการทดลองรั้วรังผึ้งสามารถป้องกันพื้นที่ได้ 71 เปอร์เซ็นต์ และในปีเดียวกันสถานีวิจัยฯ และร่วมกับโครงการฟื้นฟูอาหารช้างป่าภูหลวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เลย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก กปร. เพื่อสร้างแปลงต้นแบบการใช้รั้วรังผึ้งป้องกันพื้นที่เกษตรในพื้นที่จังหวัดเลย จำนวน 3 ราย
พ.ศ.2559 สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวงได้รับมอบหมายจากสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สร้างแปลงต้นแบบการใช้รั้วรังผึ้งป้องกันพื้นที่เกษตรและที่อยู่อาศัยจากช้างป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก ในบริเวณพื้นที่ ต.พวา และต.ขุนซ่อง อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี จำนวน 2 ราย ผลการทดลองเบื้องต้นช้างป่ามาแปลงต้นแบบ 1 จำนวน 25 ครั้ง สามารถป้องกันพื้นที่ได้มากถึง 92 เปอร์เซ็นต์ (เดือนมิถุนายน 2559-ธันวาคม 2559) และเกษตรกรยังคงใช้รั้วรังผึ้งจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ.2560 สถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวงได้รับมอบหมายจากสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ขยายแปลงต้นแบบการใช้รั้วรังผึ้งป้องกันพื้นที่เกษตรและที่อยู่อาศัยจากช้างป่าระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินงาน 10 เดือน (ธ.ค. 2559-ก.ย. 2560)
สำหรับในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีแปลงตัวอย่าง ที่พร้อมจะขยาย ของ นายนพดล ลานทะจันทร์ เกษตรบ้านนาน้อย ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ การเริ่มต้นเลี้ยงผึ้งที่เหมาะสมในการป้องกันพื้นที่การเกษตรหรือที่อยู่อาศัยและเป็นรายได้เสริมเพื่อเป็นอาชีพทางเลือกของเกษตรกร สามารถเริ่มต้นจากจำนวน 40-50 กล่องต่อ 1 ครอบครัว (ประเมินจากครอบครัวที่มีแรงงาน 2 คน) หรือตามความเหมาะสมกับสภาพของครอบครัว กล่องผึ้งแต่ละกล่องเมื่อทำเป็นแนวรั้วจะห่างกันประมาณ 7 เมตร สามารถจัดวางเป็นแนวรั้วได้ระยะทางประมาณ 350 เมตร ต้นทุนเริ่มต้นประกอบด้วยค่าพันธุ์ผึ้งชุดละ ประมาณ 4,500 บาท (1 ชุด ประกอบด้วยกล่องผึ้ง 5-8 คอน และอุปกรณ์ทำรั้ว) รายได้เริ่มต้นเมื่อผึ้งสามารถเก็บน้ำผึ้งได้ประมาณ 300 กิโลกรัม/ปี ราคาขายกิโลกรัมละ 150-500 บาท คิดเป็นรายได้ประมาณ 60,000-100,000 บาทต่อปีต่อครอบครัว
ทั้งนี้ เกษตรกรต้นแบบกำลังดำเนินการฝึกเลี้ยงและดูแลผึ้งโดยมีทีมวิทยากรจากสถานีวิจัยสัตว์ป่าภูหลวง ติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกษตรกรต้นแบบดังกล่าวสามารถดำเนินงานได้ด้วยตนเอง สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน อาทิ เพื่อเป็นการสร้างรูปแบบทางเลือกในการป้องกันพื้นที่เกษตรและที่อยู่อาศัยจากช้างป่า สร้างอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกร (การเลี้ยงผึ้ง) และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาปลูกพืชแบบผสมผสาน (ไม้ผล/ไม้ยืนต้น) และเป็นเครื่องมือในการร่วมปฏิบัติงานแบบใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯและคนในชุมชนซึ่งจะนำไปสู่การลดข้อขัดแย้งและสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์ช้างป่าอย่างยั่งยืน
อัมรินทร์ ชูฤทธิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี