ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน คนเมืองหลวงอาจจะบ่นฟ้าฝนกันไปบ้าง แต่สำหรับเกษตรกรแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ทำการเกษตรที่อาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว คงเฝ้ารอฝนอย่างใจจดใจจ่อ ลุ้นว่าถึงเวลาเพาะปลูกได้แล้วหรือยัง ยิ่งนาข้าวที่อาศัยน้ำฝนแล้ว พอฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลก็ยิ้มรอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของฤดูฝน ยังตกมาในช่วงต้นฤดู แล้วจะทิ้งช่วงไปอีกระยะ ก่อนที่จะตกมาอีกครั้งช่วงปลายฤดู ถึงกับมีคำกล่าวไว้ว่า ข้าวหอมมะลิอันโด่งดังของไทย เป็นข้าวที่ไวต่อช่วงแสง จะต้องปลูกวันแม่ แล้วเกี่ยววันพ่อ คือ ปลูกในช่วงวันที่ 12 สิงหาคม แล้วเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ถ้าทำได้เช่นนี้ รับรองได้ผลผลิตแน่นอน
แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว ผมสังเกตเห็นว่า ชาวนาบางส่วนพอฝนลง มีน้ำก็เริ่มหว่านไถกันเลยตั้งแต่ต้นพฤษภาคม พอเข้ากรกฎาคม ฝนจะเริ่มทิ้งช่วง บางพื้นที่อาจรุนแรงถึงขั้นต้องไถปลูกใหม่กันก็บ่อยครั้ง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นไปอีก อันที่จริงข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลที่ภาครัฐมีอยู่ในมือแทบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาอยู่ที่ทำอย่างไรเกษตรกรจะเชื่อข้อมูลที่มีอยู่ เกษตรกรในยุคก่อน ฉลาดในการทำการเกษตรพอสมควร โดยจัดระบบการปลูกพืชในพื้นที่ของตนเอง ในช่วงต้นฝนน้ำน้อย ไถเสร็จก็หว่านถั่วเขียว ปล่อยให้ถั่วเขียวเติบโตและเก็บผลผลิตได้ภายใน 45-60 วัน ก็ไถกลบ ตามด้วยการปลูกข้าวนาปี หลังการเก็บเกี่ยวข้าวจะหว่านถั่วเขียวอีกรอบหนึ่ง หรือบางพื้นที่สภาพดินเหมาะสมกับการปลูกถั่วลิสงก็จะสลับมาปลูกถั่วลิสง หรือพืชอื่นๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่หมุนเวียนกันไปกับปริมาณน้ำที่มีในแปลงของตนเอง
ปัจจุบันหาเกษตรกรที่วางแผนระบบการปลูกพืช ถั่วเขียว-ข้าวนาปี-ถั่วเขียว/ถั่วลิสง ได้น้อยลงไปมาก ด้วยข้อจำกัดหลายๆ ประการ ทั้งด้านแรงงาน ผลตอบแทน และนโยบายของภาครัฐเอง เพราะพืชตระกูลถั่วเหล่านี้เป็นพืชที่ถูกเรียกว่า พืชคนจน จึงไม่มีภาคเอกชนสนใจที่จะเข้าเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้เกษตรกร ในขณะที่ภาครัฐก็หลงทางไปไกล ยุบศูนย์ขยายพันธุ์พืชฯ ของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งทำหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าว ถั่วลิสง ถั่วเขียว มันสำปะหลัง หรือ อ้อย เป็นต้น กลายร่างเป็นศูนย์ขยายพันธุ์ข้าว ขึ้นกับกรมการข้าว แทน บรรดาพืชตระกูลถั่วจึงตกม้าตายแต่เมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายของกรมวิชาการเกษตร ไม่สามารถส่งมาให้กรมส่งเสริมการเกษตรผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จำหน่ายได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ทั้งกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นหน่วยงานที่เผชิญปัญหาดังกล่าวอยู่ จะพยายามฟื้นงานผลิตเมล็ดพันธุ์ให้กลับคืนมา เพื่อช่วยให้ระบบการปลูกพืชของเกษตรกรสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก เมื่อเกิดปัญหาที่จำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือ ปัญหาศัตรูพืชระบาดรุนแรง เมล็ดพันธุ์ที่สำรองอยู่ไม่เพียงพอและถึงขั้นขาดแคลนกันเลยทีเดียว ยิ่งนำเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูง มาให้เกษตรกรปลูกเลยโดยไม่ผ่านการนำมาเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จำหน่าย ยิ่งเป็นการลดจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่จะสามารถผลิตได้ในฤดูต่อไปลงไปอีกจึงเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวมากสำหรับประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตร และหากประเด็นดังกล่าวถูกมองข้ามไปจากผู้กำหนดนโยบายที่ไม่เข้าใจระบบการปลูกพืชอย่างแท้จริง ปัญหาเหล่านี้จะขยายและนำไปสู่ปัญหาที่มีความซับซ้อนและยากจะแก้ไขขึ้นไปอีก ผมมองว่าอย่างนั้น
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี