บ่นเรื่องภาษาอังกฤษกับคนไทยไปเมื่อคราวที่แล้ว ขอต่ออีกสักหน่อยนะครับ ใจจริงอย่าหาว่าผมค่อนแคะคนไทยด้วยกันเองเลย แต่ที่ต้องพูดเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องจริงที่เราต้องยอมรับก่อน หาไม่แล้ว เราก็ยังคิดว่าเราเก่งแล้ว ดีแล้ว เลยไม่ต้องพัฒนาอะไรอีก ทั้งที่ในความเป็นจริง จากประสบการณ์ที่ผมได้เดินทางไปมาในประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกอาเซียน พบว่า เก่งสุดยอดอันดับหนึ่ง คือ ฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ เพราะเขาใช้เป็นภาษาราชการ คนทุกคนสามารถใช้ได้ กล่าวคือ พูด ฟัง อ่าน และเขียนเหมือนคนอังกฤษหรืออเมริกันเลยทีเดียว รองลงมาน่าจะเป็นคนสิงคโปร์ พวกเขาแม้เกือบร้อยทั้งร้อยจะมีเชื้อสายจีน แต่สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษอย่างมาก และได้สร้างระบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาคนเขาให้มีความรู้และใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก และได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการด้วย อันดับรองลงมาน่าจะเป็นมาเลเซีย ซึ่งรวมถึงบรูไนดารุสซาลาม ดังได้กล่าวในฉบับก่อน ตามด้วยอินโดนีเซียครับ จะสังเกตว่ากลุ่มประเทศที่กล่าวมาจะอยู่เป็นเกาะทางใต้ของประเทศไทยเราทั้งหมด
กลุ่มประเทศอาเซียนที่อยู่ในแผ่นดินเหนือจากมาเลเซียขึ้นมา นอกจากไทยเรา ก็จะมีกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่ากลุ่มประเทศ CLMV คนในประเทศทั้ง 4 ที่กล่าวนี้ เมื่อวัดฝีมือด้านภาษาอังกฤษกับไทยแล้ว แบบปอนด์ต่อปอนด์ หมายถึงเอาเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีเท่าๆ กันแล้ว ผมว่าเรายังเป็นรองนิดๆ เมื่อเทียบกับกัมพูชา และสปป.ลาว ขณะที่ทั้งเมียนมาและเวียดนามน่าจะใกล้เคียงกันกับไทยมาก (แต่ในการจัดอันดับโลกต่างจากที่ผมเสนอนี้เล็กน้อย) ดังนั้น จะเห็นได้ว่าไทยเราอยู่ในอันดับที่ไม่น่าภูมิใจเลย มิน่าเล่า เวลาประชุมระหว่างประเทศจึงต้องนั่งเงียบๆ ไม่หือไม่อือ ความจริงประเทศที่พื้นฐานดี แต่พัฒนาถอยหลัง คือ เมียนมา ครับ เดิมคนเมียนมาพูดและฟังภาษาอังกฤษเก่งมากครับ ทั้งนี้เพราะเคยถูกปกครองโดยอังกฤษ และคงมีครูคนอังกฤษแท้ๆ มาปูพื้นฐานความรู้ทั้งด้านการพูดและการฟังไว้ให้อย่างแน่น แต่หลังจากได้เอกราช คนอังกฤษกลับบ้านไป คนเมียนมา หรือทางการเมียนมากลับไม่รักษาความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษไว้ เลยจบเห่กัน ทุกวันนี้ก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษในระบบที่ไม่ต่างจากไทยแลนด์เราเท่าไหร่นักหรอก เพราะบางครั้งในที่ประชุมระหว่างชาติก็จะเห็นคนอีกคนนั่งหลบมุมเงียบเชียบ ดูหน้าตาก็ยิ่งทำให้เดาได้ยากขึ้น ว่าใครคือคนไทยกันแน่
แต่ที่แปลกใจ คือ สปป.ลาว ครับ ทุกวันนี้กำลังตีจากภาษาอังกฤษ กลับไปใช้ภาษาอีกภาษาหนึ่ง นั่นคือ ภาษาฝรั่งเศส ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลสปป.ลาวคิดอย่างไรไม่ทราบ เอาภาษาเจ้าอาณานิคมเดิมกลับมาใช้ หลังจากเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษมาพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะคนลาวรุ่นเก่าเขาใช้ภาษาฝรั่งเศสจนคุ้นชิน ผมเคยมีเพื่อนรุ่นเก่ามากๆ เป็นคนลาว เขาใช้ภาษาฝรั่งเศสได้เก่งมากเลยครับ เลยคิดว่าเขาเห็นว่าถนัดมากกว่าเลยกลับไปใช้ภาษาฝรั่งเศสอีกครั้ง สังเกตเวลาเดินทางไป สปป.ลาวตอนนี้พวกป้ายสถานที่ราชการต่างๆ นอกจากจะมีภาษาลาวเป็นอักษรหลักแล้ว อีกบรรทัดก็จะมีชื่อที่เขียนโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส ผมว่าคนที่รู้แต่ภาษาอังกฤษเวลาไป สปป.ลาวทุกวันนี้อาจต้องเจอกับปัญหาการสื่อสารเป็นแน่เลย โชคดีที่คนไทยเราสามารถฟังภาษาลาวได้เข้าใจ และเวลาพูดภาษาไทยไป เขาก็เข้าใจ เลยทำให้ปัญหาคลี่คลายไปได้ แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะใช้ภาษารองคนละภาษาไปเสียแล้ว
สำหรับประเทศบวกสาม คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างขะมักเขม้นฟื้นฟูความสามารถทางด้านภาษากันอย่างเต็มที่ เพราะเขาให้ความสำคัญ คือ คนทั่วไปก็อาจพอรู้พอสื่อสารได้ แต่ถ้าจะเป็นการเจรจาอะไรที่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย เขาก็จะใช้มืออาชีพเข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น เวลามีประชุมทางการ เขายอมลงทุนจ้างล่ามมืออาชีพไว้อย่างน้อย 1 คน โดยไม่ลังเล สังเกตคือ อะไรก็ตามที่มีผลกระทบต่อประเทศและประชาชนของเขา จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนในทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงว่า เรื่องนั้นจะยิ่งใหญ่ หรือเล็กน้อยประการใด เพราะสำหรับพวกเขาแล้วผลประโยชน์ของชาตินั้นมีความสำคัญสูงสุด
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี