เมื่อเวลา 10.00 น. 27 มิถุนายน ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค1 คดีหมายเลขดำอ. 4571/60 ที่ พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการเป็นโจทก์ฟ้องนายสมชาย แก้วบางยาง อายุ 52 ปี และนางเพ็ญศรี หรือ พรชนก ทานากะ หรือ ไชยะปะ อายุ 52 ปี อดีตสามีภรรยาร่วมกันเป็นจำเลยที่1-2 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
กรณีเมื่อวันที่ 3 ต.ค2546 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันฆ่านายคาซึโตชิ ทานะกะ สามีชาวญี่ปุ่นของจำเลยที่ 2 ด้วยการผลักร่างนายคาซึโยชิให้ตกลงจากบันไดซึ่งเป็นบ้านเช่าและบริษัทขายเครื่องมือการเกษตร จนนายคาซึโยชิถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลย
เหตุเกิดที่อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เลขที่ 99/427- 428 ริมถนนบางนา-ตราด ก.ม.18 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ชั้นสอบสวนนายสมชาย ให้การรับสารภาพว่า กระทำผิดจริงเพราะเหตุจากความหึงหวง เนื่องจากผู้ตายเป็นสามีใหม่ ของนางพรชนก อดีตภรรยา จนมีบุตรด้วยกัน1 คน แต่ให้การปฏิเสธชั้นศาล ส่วนนางพรชนกให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด
คดีนี้ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 มี.ค.61 ให้ลงโทษ “นายสมชาย แก้วบางยาง” จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษ1 ใน 3 คจำคุก 33 ปี 4 เดือน โดยให้ยกฟ้องนางพรชนก ส่วนนางพรชนก จำเลยที่2 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และมีข้อพิรุธน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พิพากษายกฟ้อง
อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษนางพรชนก จำเลยที่ 2 ด้วย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริง รับฟังได้เป็นที่ยุติว่า ตามวัน-เวลาเกิดเหตุนายสมชาย” จำเลยที่ 1 ฆ่านายคาซิโตชิ ทานากะ ผู้ตาย ด้วยการผลักผู้ตาย ตกลงไปที่ราวบันใดแล้ว ใช้มือกดลำคอจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทย์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ซึ่งในชั้นสอบสวน “นายสมชาย” จำเลยที่ 1 รับสารภาพถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบว่าร่วมกันวางแผนก่อนเกิดเหตุ หรือ “นายสมชาย” จำเลยที่ 1 นั่งรอดูผู้ตายเดินออกจากห้องเป็นเวลาถึง 4-5 ชั่วโมงตามคำให้การ ซึ่งมูลเหตุจูงใจในการฆ่าที่ให้การไว้ ก็คงมีเพียงเรื่องที่ถึงหึงหวงตายกับ “นางพรชนก” จำเลยที่ 2 ที่ขึ้นไปนอนพร้อมกันเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องเงินที่ทำประกันของผู้ตายแต่อย่างใด
ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ( ป.วิ อาญา) มาตรา 227 วรรคสอง
ส่วน “นางพรชนก” จำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่ามีส่วนร่วมกับ “นายสมชาย” จำเลยที่ 1 ในการฆ่าผู้ตายอย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของ “นายสมชาย” จำเลยที่ 1 ก็ปรากฏเพียงว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายแล้วได้ไปเรียกจำเลยที่ 2 จากที่ห้องนอน แล้วจำเลยที่ 2 ก็เรียกให้คนช่วย ขณะที่จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธโดยตลอดว่าไม่มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด
ส่วนที่โจทก์นำสืบถึงมูลเหตุจูงใจว่า “นางพรชนก” จำเลยที่ 2 จะได้รับเงินจากการประกันชีวิตจากผู้ตายนั้นโจทก์ก็ไม่มีหลักฐานว่า จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องการทำประกันชีวิตของผู้ตายก่อนเกิดเหตุหรือมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจำเลยที่ 2 ได้รับเงินที่ได้จากการประกันชีวิตของนายคาซิโตชิ ทานากะ ผู้ตายมาแล้ว หรือหากจำเลยที่ 2 ได้รับเงินจากประกันชีวิตของผู้ตายจริงก็อาจเป็นเพียงการรับเงินตามสิทธิ์ของตนตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้รับประโยชน์ไว้ก็เป็นได้ แม้การที่จำเลยที่ 2 ไม่ให้คนใกล้ชิดเล่าเรื่องจำเลยที่ 1 อยู่ในที่เกิดเหตุให้คนอื่นฟังก็อาจเพียงต้องการช่วยเหลือ “นายสมชาย”จำเลยที่ 1 ซึ่งเคยอยู่กินฉันสามีมาก่อนเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษจากที่ตนทราบหรือสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายในภายหลังก็เป็นได้ อีกทั้งยังเป็นการสั่งห้ามในวันถัดมาไม่ใช่ห้ามในวันเกิดเหตุทันที
ตามทางนำสืบของโจทก์ จึงยังไม่พอยืนยันว่า “นางพรชนก” จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในการฆ่าผู้ตายพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายหรือไม่ จึงยกประโยชน์ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 227 วรรคสอง โดยโจทก์มีเพียงพยานหลักฐานที่นำสืบมาเป็นพยานแวดล้อม อีกทั้งยังไม่อาจยืนยันข้อเท็จจริงได้ชัดแจ้งโดยปราศจากความสงสัย ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำเสนอมายังมีความสงสัยตามสมควร สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานกระทำการโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องหรือไม่นั้น และจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ใดหรือไม่ แล้วศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษ “นายสมชาย” จำเลยที่ 1 เฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 และยกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น “ศาลอุทธรณ์ภาค 1” เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ศาลได้เบิกตัวนางพรชนก จากทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องจากต้องโทษคำพิพากษา “คดีฆ่าผู้อื่นและหั่นชิ้นศพเพื่อปกปิดอำพรางคดี นายโยชิโนริ ชิมาโตะ อายุ 79 ปีครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น ที่นางพรชนกดูแลอยู่ด้วยกันอีกคดีด้วย พิพากษาให้ประหารชีวิตนายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยที่ 1 รับสารภาพจึงจำคุกไว้ตลอดชีวิต
ส่วนของนางพรชนก จำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่า อยู่ร่วมกันในบ้านที่เกิดเหตุ แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตาย ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ยังมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้ตายไปเบิกถอนเงินสด 15 ครั้งรวมเป็นเงิน 7.2 แสนบาท และร่วมซ่อนเร้นทำลายศพ รวมจำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำเลยที่ 2 ทุกกระทงความผิดแล้วตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุด 20 ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี