เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม ผมและคณะได้รับเชิญจากกระทรวงเกษตร สปป.ลาว ให้ไปร่วมส่งมอบข้าวสารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เขื่อนแตกที่แขวงอัตตะปือ ตอนใต้ของประเทศ สมัยตอนเป็นเด็กๆ ไม่ทราบจะมีใครเหมือนรุ่นผมหรือไม่ เพื่อนๆ มักจะชอบเล่นทายชื่อเมืองในหน้ากระดาษแผนที่ โดยบอกชื่อแล้วให้คนอื่นๆ ค้นหา ใครค้นเจอก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ พอเลือกใช้แผนที่ประเทศ สปป.ลาว มักจะถามให้ทายกันว่าแขวงอัตตะปืออยู่ตรงไหน อาจเป็นเพราะชื่อไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และตั้งอยู่ใต้เกือบสุดของประเทศ หายากกว่าเมืองอื่น ผมจึงคุ้นหูกับชื่อแขวงอัตตะปือมาตั้งแต่เด็ก การเล่นเกมที่ว่านี้ ผมว่ามีประโยชน์มาก เพราะทำให้เก่งวิชาภูมิศาสตร์โดยไม่รู้ตัว ไม่ทราบเด็กปัจจุบันยังมีเล่นกันอยู่หรือเปล่า
เช่นเดียวกับการไป สปป.ลาว ครั้งก่อนที่แขวงคำม่วนที่ไปลงเครื่องที่นครพนม คราวนี้ผมและคณะใช้วิธีเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปทางจังหวัดอุบลราชธานี แล้วต่อไปเข้าลาวที่ด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร เพื่อข้ามเข้าไปแขวงจำปาสัก แล้วจึงต่อไปแขวงอัตตะปือ จากสนามบินอุบลราชธานี ผมเช่ารถเหมาให้ไปส่งที่ด่านช่องเม็ก เพื่อผ่านแดนโดยได้นัดให้ทางการลาวมารับที่ด่านเมื่อข้ามไปแล้ว ใช้พาสปอร์ตแป๊บเดียวก็เสร็จ เดินลอดอุโมงค์ใต้เส้นพรมแดนเข้าฝั่งลาว มีรถตู้ของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม นำโดยท่านรองเจ้ากรมสวัสดิการ มารับพร้อมตัวแทนจากกระทรวงเกษตรฯ ปัจจุบันเส้นทางจากอุบลราชธานีไปด่านช่องเม็ก สะดวกมาก เป็นทาง 4 เลน วิ่งรถได้โดยไม่เสียเวลาติดขัดใดๆ ขณะเดียวกันทางฝั่งลาวจากด่านไปยังเมืองปากเซ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขง ก็ได้มีการปรับปรุงถนนใหม่เช่นกัน วิ่ง 4 เลน สะดวกสบายแม้จะไม่ราบเรียบสวยงามเท่าของไทยก็ตาม ผมเคยไปปากเซครั้งหลังสุดสมัยยังอยู่ที่กรมการข้าว ประมาณ 4 ปีมานี้ ตอนนั้นถนนยังเล็กอยู่เลย แสดงว่าสปป.ลาวเองก็ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมก้าวหน้ามากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เพราะเส้นทางนี้ ถือเป็นเส้นทางที่นำไปสู่จุดท่องเที่ยวที่สำคัญของเขา กล่าวคือ นอกจากเมืองปากเซ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเวียงจันทน์แล้ว เลาะลงไปทางทิศใต้ติดทางชายแดนประเทศกัมพูชา ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อแหล่งท่องเที่ยวดังของลาว คือ น้ำตกคอนพะเพ็งและน้ำตกหลี่ผี นะครับ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไทยข้ามเข้าไปชมกันเป็นจำนวนมากทีเดียว สมัยผมไปรอบที่แล้วก็ได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว พิจารณาแล้ว ผมถึงทราบเหตุผลว่าทำไมฝรั่งเศสจึงบีบบังคับไทยให้ยินยอมยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงแถวๆ นี้ให้เป็นของลาว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็เพราะจุดบริเวณนี้เป็นแหล่งธรรมชาติที่สวยงามมาก แม่น้ำโขงที่ไหลมาจากทางเหนือกำลังจะไหลลงสู่ที่ต่ำต่างระดับ เข้าสู่ดินแดนกัมพูชา ก่อให้เกิดน้ำตกและทัศนียภาพที่น่ายล เข้าไปลึกๆ ยังมีทางรถไฟเก่าๆ ขนาดเล็ก รวมทั้งหัวรถจักรเก่าที่พวกฝรั่งเศสสร้างทิ้งร้างไว้ให้เห็นอยู่ เป็นร่องรอยที่สามารถสืบสาวได้ว่าพวกชาวตะวันตกคงชื่นชอบที่จะมาตั้งแคมป์ชั่วคราวพักผ่อนหย่อนใจกันในบริเวณนี้ จนไม่อยากจะให้ตกเป็นของไทยเรา
รถยนต์คณะเราเป็นรถตู้ วิ่งผ่านเมืองปากเซ ไปโดยไม่ได้แวะเพราะยังไม่ถึงเวลากลางวัน เข้าสู่เส้นทางที่จะไปยังแขวงอัตตะปือ ซึ่งวิ่งไปทางทิศตะวันออก ไปทางประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองปากเซไปเกือบร้อยกิโลเมตร ก็ถึงเมืองปากซอง หลายคนคงรู้จักดี เป็นที่ราบสูงขึ้นไปมากจนทำให้มีอากาศเย็น จึงเป็นแหล่งสำคัญที่สุดของ สปป.ลาว ที่มีการผลิตกาแฟชื่อดังของเขา ใช่ครับ บริเวณสองฟากทางถนน 4 เลน ที่รถวิ่งผ่านไปที่ปากซอง จะพบไร่กาแฟเต็มไปหมด แถมยังมีร้านให้แวะชมไร่และพักดื่มกาแฟกันอีกเป็นระยะๆ นี่ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนอกจากจะไปชมน้ำตกแล้ว ก็พากันมาแวะชมสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวได้อีกแหล่งหนึ่ง กาแฟที่ปลูกกันอยู่นั้น ผมทราบมาก่อนแล้วว่าเป็นธุรกิจที่นักธุรกิจไทยเข้าไปมีหุ้นส่วนทำด้วย อีกทั้งยังมีนักวิชาการไทยที่เกษียณแล้ว เข้าไปช่วยทำอีก ซึ่งสมัยที่ผมไปครั้งที่แล้ว แม้ไม่เคยได้มาที่ปากซอง แต่ผมก็รู้จักอยู่หลายคน
ความสำราญเจริญหูเจริญตาในการเดินทางครั้งนี้ คงจะจบลงที่ปากซองนี่แหละครับ ฉบับหน้าก็จะเป็นการเล่าต่อถึงการเดินทางต่อไปยังแขวงอัตตะปือ ที่เคยคุ้นหูบนแผนที่ครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี