เตือนดื่ม‘ชานมไข่มุก’
ผงะมีสารกันบูด100%
พบปริมาณน้ำตาลสูง
เสี่ยง‘อ้วน-เบาหวาน’
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยผลตรวจ“สารกันบูด-น้ำตาล-โลหะหนัก”ในชานมไข่มุก25ยี่ห้อ พบเม็ดไข่มุกมีสารกันบูด100เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่น้ำตาลสูง บางยี่ห้อสูงถึง18ช้อนชา เกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 6 ช้อนชาเกินไปถึง3เท่า เตือน เสี่ยงทำให้เกิด กลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) ทั้ง’อ้วน-เบาหวาน-ฟันผุ’
เมื่อวันที่ 11กรกฎาคม ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ ทันตแพทย์หญิง(ทพญ.)มัณฑนา ฉวรรณกุล รองผู้จัดการโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสุขภาพ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ร่วมแถลงข่าวเปิดเผยผลตรวจวิเคราะห์สารกันบูด น้ำตาล และโลหะหนัก ใน ชานมไข่มุก 25 ยี่ห้อ
โดย น.ส.สารี กล่าวว่า โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคฯของศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มเก็บตัวอย่าง ทั้งหมด 25 ยี่ห้อเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในขนาดแก้วปกติ แบบไม่ใส่น้ำแข็ง โดยชานมไข่มุก ที่ซื้อมีราคาตั้งแต่แก้วละ 23-140 บาท เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการได้แก่ ปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน รวมถึงทดสอบหาโลหะหนักประเภทตะกั่วและสารกันบูดในเม็ดไข่มุก พบชานมไข่มุกบางยี่ห้อ มีน้ำตาลมากกว่า 19 ช้อนชาซึ่งเป็นปริมาณเกินกว่าที่ควรจะได้บริโภคต่อวัน ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดแนะนำ ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม (ก.)
จากผลวิเคราะห์ พบมีเพียง 2 ยี่ห้อ จาก 25 ยี่ห้อเท่านั้น ที่มีปริมาณน้อยกว่า 24 ก.ได้แก่ ยี่ห้อ KOI the’ มีปริมาณน้ำตาลต่อแก้วน้อยที่สุด 16 ก. หรือ 4 ช้อนชา และ ยี่ห้อ TEA 65 มีปริมาณน้ำตาล 22 ก.หรือ 5.5 ช้อนชา ส่วนอีก 23 ยี่ห้อ พบมีปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 29 ก. หรือ 7.25 ช้อนชาขึ้นไปจนถึงปริมาณน้ำตาลที่มากสุด 74 ก. หรือ 18.50 ช้อนชา คือ ยี่ห้อ CoCo Fresh Tea & Juice
นอกจากนี้ ผลทดสอบ สารกันบูด ประเภท กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก ในเม็ดไข่มุกพบทุกยี่ห้อมีสารกันบูด หรือคิดเป็นร้อยละ 100 โดยยี่ห้อที่มีปริมาณสารกันบูดน้อยที่สุด คือ ยี่ห้อ The Alley มีปริมาณกรดซอร์บิกเท่ากับ 58.39 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (มก./กก.) และยี่ห้อที่พบปริมาณสารกันบูดมากที่สุด คือ ยี่ห้อ BRIX Desert Bar พบปริมาณกรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิกรวมกันเท่ากับ 551.09 มก./กก. แม้ไม่ได้เกินมาตรฐานกำหนด แต่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ หากได้รับในปริมาณมาก
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจะต้องค้นหาแหล่งที่มาของสารกันบูดให้ได้ว่าปริมาณสารกันบูดที่มีมากเกิดจากอะไร ส่วนปริมาณพลังงานจากน้ำตาลและไขมันที่ผู้บริโภคได้รับ พบมากเกินความจำเป็นเสี่ยงต่อผลกระทบด้านสุขภาพ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่มียี่ห้อใดให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วง ยกเว้นผลทดสอบโลหะหนักในเม็ดไข่มุกทั้งหมด 25 ยี่ห้อ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนของตะกั่ว
“ดังนั้นขอให้ผู้ประกอบการปรับลดขนาดปริมาณต่อแก้วลงให้เหมาะสม เนื่องจากพบว่าขนาดของแก้วสัมพันธ์กับปริมาณน้ำตาลที่เติมลงไป บางยี่ห้อมีราคาสูงมาก เมื่อผู้บริโภคซื้อชานมไข่มุก อาจบริโภคจนหมดแก้ว เพราะความเสียดาย ขณะเดียวกัน ขอให้ผู้ประกอบการ ระบุฉลากให้ถูกต้องตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ในการใส่วัตถุเจือปนอาหาร หากไม่ระบุฉลากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย รวมถึงเร่งผลักดันให้เกิดฉลากสัญญาณไฟจราจรเพื่อทำให้ผู้ประกอบการปรับปรุงคุณภาพอาหารให้เป็นมิตรต่อผู้บริโภค” น.ส.สารี กล่าว
นอกจากนี้ ข้อมูลการตลาด พบปัจจุบันตลาดชาไข่มุกทั่วโลก มีมูลค่า 6.5 หมื่นล้าน คาดจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านในปี 2020 โดยไทยมีสัดส่วนการตลาดคิดเป็นมูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัท ชานมไข่มุกยี่ห้อ Ochaya ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด 146 ล้านบาทและมี 360 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งผลวิเคราะห์ พบมีปริมาณน้ำตาลต่อแก้ว 50 ก.หรือ12.50ช้อนชา ส่วนปริมาณ สารกันบูดรวม 291.76 มก./กก. เป็นกรดเบนโซอิก 160.21 มก./กก.และ กรดซอร์บิก 131.55 มก./กก.
ด้าน ทพญ.มัณฑนา กล่าวว่า ชาไข่มุกกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในปัจจุบัน ตั้งแต่กลุ่มเด็กเยาวชนไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งชานมไข่มุกแก้วเดียวมีปริมาณน้ำตาลต่อแก้วสูงมากถึง 19 ช้อนชาเกินกว่าปริมาณที่ควรจะได้รับถึง 3 เท่า อีกทั้งได้รับปริมาณเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้สถานการณ์ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) ที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตเช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน รวมถึง โรคอ้วนและโรคฟันผุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะฟันผุที่เป็นปัญหาส่งผลต่อสุขภาพด้านอื่นจากการกินหวานมากเกินความจำเป็น
“ที่ผ่านมาทางเครือข่ายฯมีความพยายามขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้รับผิดชอบต่อผู้บริโภค โดยการลดปริมาณน้ำตาลน้อยลง พบมีบางร้านเท่านั้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ จะไปห้ามก็ทำไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ไปห้ามไม่ให้กินก็ไม่ได้ แต่ขอแนะนำให้ลดปริมาณการกินน้อยลง หากเลี่ยงได้ควรงดดื่ม ส่วนสารกันบูดทราบกันดีว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ไตและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น หากรับปริมาณมากเกินกำหนด จะทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ บางรายอาจมีอาการรุนแรงเสี่ยงต่อชีวิต” ทพญ.มัณฑนา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี