ค้านขึ้นค่าแรง400
เอกชนอ้างเศรษฐกิจไม่ดี
ซ้ำเติมเอสเอ็มอีตายหมด
กระทบต้นทุนหลายกลุ่ม
แนะรัฐบาลเลิกพูดได้แล้ว
ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ค้านขึ้นค่าแรง 400 บาท/วัน อ้างเศรษฐกิจยังไม่ดี ย้ำปรับค่าแรงต้องผ่านไตรภาคี แต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน ชี้ถ้าขึ้นจริง มีแค่ “แรงงานต่างด้าว” ได้ประโยชน์ แต่ผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม จะตายหมด แนะรัฐบาลเลิกพูดค่าแรง ควรเน้นพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ส่วน บล.เอเซียพลัส ชี้หากขึ้นค่าแรง จะกระทบต้นทุนผู้ประกอบการอีกหลายกลุ่ม
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเสนอให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นวันละ400บาทต่อวันตามที่พรรคการเมืองได้หาเสียงเลือกตั้งว่า ในมุมมองของภาคเอกชน ขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี หากปรับขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)แน่นอน
ทั้งนี้ ในการปรับค่าแรง จะต้องดำเนินการผ่านคณะกรรมการไตรภาคีและค่าแรงแต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน โดยจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของพื้นที่นั้นๆ เรื่องที่ภาคเอกชน ให้ความสำคัญขณะนี้ คือ จะปรับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร เพื่อจะให้แรงงานมีโอกาสได้รับรายได้มากขึ้น และไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าแรงทันทีอยู่แล้ว
“ค่าแรงขั้นต่ำจะราคาเดียวทั่วประเทศไม่ได้ ที่สำคัญแรงงานลักษณะนี้ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือ แรงงานต่างด้าว เราจะเสียผลประโยชน์อีกเป็น1,000 เป็น10,000ล้านบาทและค่าแรงส่วนนี้ก็ไม่หมุนกลับมาเศรษฐกิจในประเทศ คนไทยส่วนใหญ่มีค่าแรงที่ดีขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมุ่งปรับทักษะฝีมือแรงงานของแรงงานไทยให้สูงขึ้นได้อย่างไร” นายสุพันธุ์ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการจะปรับค่าแรง ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่งเศรษฐกิจไทยขณะนี้ชะลอตัว การที่จะให้เศรษฐกิจดี ไม่ใช่การที่รัฐบาลไปกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ การที่เศรษฐกิจดี จะต้องทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้นและมีการจ้างงานที่สูง ก็จะทำให้ค่าแรงปรับสูงขึ้นเอง
“การกำหนดค่าแรงขึ้นท่ามกลางสภาวะอย่างนี้เอสเอ็มอี ตายหมด เกษตรกรก็มีปัญหา เพราะต้องจ้างงาน ดังนั้น รัฐบาลต้องยกเลิกพูดเรื่องค่าแรงได้แล้ว ควรให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานแทนจะทำให้เกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับตัวได้ดีขึ้น เห็นด้วยกับการที่รัฐบาล จะมาดูแลเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อให้สามารถลดหย่อน หรือใช้นโยบายภาษีให้ได้ประโยชน์ที่สุดในการลดหย่อนภาษี” นายสุพันธุ์ กล่าว
วันเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ400บาท/วัน โดยที่รัฐบาลชุดใหม่เดินหน้าสานต่อนโยบายต่างๆที่เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้า และเชื่อว่านโยบายที่ภาครัฐจะเร่งดำเนินการก่อน คือ นโยบายระยะสั้นโดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นการบริโภค ส่งผลให้มีกระแสนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกลับมาอีกครั้ง หลังจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันให้รัฐบาลปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น400บาท/วันหรือปรับเพิ่มราว23% จากปัจจุบันอยู่ที่ 325บาท/วัน กลับมาอีกครั้ง หากปรับขึ้นจริง เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน แต่ในทางตรงกันข้ามจะกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการคือ กลุ่มรับเหมาฯ,ค้าปลีก, ชิ้นส่วนฯ, เกษตรอาหาร
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉลี่ยค่าแรง คิดเป็นสัดส่วนรวม 10-15%ของต้นทุนก่อสร้าง ASPSคาดหากมีการปรับขึ้นค่าแรง 22% ดังกล่าว จะทำให้บริษัทรับเหมา มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงประมาณ2%โดยปัจจุบันบริษัทรับเหมาฯมี Gross margin เฉลี่ย 8-12%และมี Net Profit margin 2-6%โดยบริษัทที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ บริษัทมีอัตรากำไรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และใช้แรงงานสูง อย่าง ITD, NWR
ปัจจุบันบริษัทรับเหมา มีการปรับวิธีการทำงานด้วยการนำเครื่องจักรมาใช้ ลดการใช้แรงงานคน และใช้วิธี Sub contract งานเป็นส่วนๆออกไปให้กับผู้รับเหมาช่วง โดยเชื่อว่างานประมูลภาครัฐจำนวนมากที่กำลังจะออกมา น่าจะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมก่อสร้างลดลง ส่งผลต่ออัตรากำไรของงานก่อสร้างใหม่ๆในอนาคตที่จะดีขึ้น เมื่อถัวเฉลี่ยกับงานใน Backlog เดิมที่จะถูกกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบัน มีค่าใช้จ่ายแรงงานในประเทศ สัดส่วนราว 5-8% ของต้นทุนรวม (บางบริษัทมีแรงงานอยู่ต่างประเทศ อาทิ DELTA, HANA ราว 2%ของต้นทุนรวม) เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคาดการปรับขึ้นค่าแรง จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรกลุ่มชิ้นส่วนฯ ราว 11.7% จากปัจจุบัน นำโดย SVI ,HANA , KCE , และ DELTA ตามลำดับ
กลุ่มเกษตร-อาหาร มีค่าใช้จ่ายแรงงานในประเทศ ราว 1.5-8% ของต้นทุนรวม หากรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 23% เป็น 400 บาท/วัน จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรกลุ่มเกษตร-อาหารราว 25% จากปัจจุบัน
กลุ่มยานยนต์ มีค่าใช้จ่ายแรงงานทางตรงราว 5%-10% ของยอดขาย(ยกเว้น PCSGH งวด 3Q61 นับเฉพาะโรงงานในไทยมีต้นทุนแรงงาน 17.4% ของยอดขาย) และ SAT มีพนักงาน อยู่ในแผนกผลิตจำนวน 1,396 คน กรณีที่มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ23% จะส่งผลให้ค่าจ้างพนักงานในแผนกผลิตเป็น 134 – 142 ล้านบาท / ปี หรือกระทบต่อกำไรประมาณ 20 – 30 ล้านบาท/ปี เป็นต้น
ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรง ต้องมีระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 3 เดือน เนื่องจากต้องมีการหารือจากตัวแทนทั้ง 3 ฝ่าย ทั้งภาครัฐ, เอกชน และลูกจ้าง แม้ประเด็นดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น
แต่ในอีกมุมช่วยเพิ่มกำลังซื้อ หรือความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนดีขึ้น หนุนการบริโภคสินค้าและบริการ เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ (ดีต่อกลุ่มค้าปลีก, โรงพยาบาล, ท่องเที่ยว) และการเติบโตของสินเชื่อ (ดีต่อกลุ่มการเงิน) ขณะเดียวกันทางฝั่งผู้ประกอบการเองน่าจะเร่งกระตุ้นยอดขาย ด้วยการทำโฆษณามากขึ้น (ดีต่อกลุ่มบันเทิง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี