สถานการณ์สับปะรดปีการผลิต 2562 มีแนวโน้มสดใส เกษตรกรปรับตัวแก้ปัญหาผลผลิตล้น ด้วยการเพิ่มช่องทางจำหน่ายสับปะรดผลสดมากขึ้น แทนการปลูกส่งโรงงานอย่างเดียว ที่สำคัญมีการรวมกลุ่มแปลงใหญ่ส่งผลผลิตสับปะรด GAP และสับปะรด GI เจาะตลาดทั้งไทยและต่างประเทศ
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)กล่าวว่า สืบเนื่องจากปี 2557-2559 ผลผลิตสับปะรดออกมาน้อยมากจากปัญหาสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการ ราคารับซื้อสูงถึง 10 บาทต่อกก. ส่งผลให้ปี 2560-2561 เกษตรกรรายเดิมและรายใหม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นทั้งในจังหวัดแหล่งปลูกและจังหวัดที่ไม่เคยปลูกสับปะรดมาก่อน ทำให้ผลผลิตเกินความต้องการของตลาดโดยเฉพาะโรงงานแปรรูปสับปะรด ราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อกก. เกษตรกรจึงไม่ขยายเนื้อที่ปลูก และเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นเช่น มันสำปะหลังโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ บางส่วนปล่อยทิ้งไม่ดูแล ยกเลิกพื้นที่เคยเช่าปลูกสับปะรดและลดการใช้ปุ๋ยฮอร์โมนต่างๆสารเร่งให้ออกผล รวมทั้งอากาศที่แห้งแล้ง ส่งผลให้ต้นไม่สมบูรณ์ บางส่วนไม่ออกดอก ผลแคระแกร็นไม่มีน้ำหนัก และไม่สามารถใช้สารเร่งการออกดอกในช่วงปลายปีได้
สศก.คาดการณ์ว่าปี 2562 จะมีเนื้อที่เก็บเกี่ยวสับปะรดอยู่ที่ 480,464 ไร่ ผลผลิต 1.78 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วผลผลิตอยู่ที่ 2.36 ล้านตัน ถือว่าผลผลิตลดลงประมาณ 5-6 แสนตัน
จากพื้นที่ที่ลดลงเกือบแสนไร่ ขณะที่ความต้องการของโรงงานมีประมาณ1.4-1.5 ล้านตัน โดยผลผลิตอีกประมาณ 3 แสนกว่าตันเป็นการผลิตสับปะรดเพื่อบริโภคผลสด ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากราคาสับปะรดผลสดขายได้ราคาดีกว่าสับปะรดโรงงานโดยเฉลี่ยราคาประมาณ 10 บาทต่อกก. เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่จากการปลูกสับปะรดโรงงานเป็นปลูกเพื่อบริโภคสดเพิ่มขึ้น เช่นพันธุ์ภูเก็ต ตราดสีทอง ภูแล ห้วยมุ่น สับปะรด GI บ้านคาราชบุรี หรือปลูกพันธุ์เดิมที่เคยส่งโรงงานแปรรูป ก็เปลี่ยนมาขายแบบบริโภคผลสดแทน นอกจากเปลี่ยนพื้นที่ เปลี่ยนพันธุ์แล้ว ยังเปลี่ยนตลาดจากส่งโรงงานแปรรูปมาเป็นตลาดบริโภคสดในท้องถิ่น หรือส่งโมเดิร์นเทรดมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสดีเกษตรกรรู้ช่องทางตลาดและเลือกช่องทางที่มีรายได้มากที่สุด
ทั้งนี้ สศก.จัดทำข้อมูล เช่น ปัจจัยการผลิต กระบวนการผลิต การบริหารจัดการเพิ่มมูลค่าผลผลิต การตลาด อีกทั้ง มีแอพพลิเคชั่นฟาร์ม D จัดการฟาร์มของตนเอง เพื่อให้เกษตรกรถวางแผนตัดสินใจผลิตสินค้าเกษตรได้เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีแหล่งความรู้จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยเฉพาะการรวมกลุ่มทำเกษตรแปลงใหญ่ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตของเกษตรกรอีกช่องทางหนึ่ง ปัจจุบันสับปะรดผลสดเข้าสู่ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 35 แปลงเกษตรกรเข้าร่วม 1,842 ราย พื้นที่ 32,555 ไร่ ดำเนินการ 15 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ชลบุรี ชัยภูมิ เชียงราย นครพนม ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง ราชบุรี ลำปาง เลย หนองคาย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี มุ่งเน้นการรวมกลุ่มและบริหารจัดการ ผลิตและจำหน่าย สามารถลดต้นทุนการผลิต และมีผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
ผลการเข้าระบบสับปะรดผลสดแปลงใหญ่ ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ มีตลาดรองรับแน่นอน เกษตรกรไม่ต้องพึ่งแต่โรงงานทั้งหมด อย่างในอดีตสับปะรดที่ปลูกในประเทศส่งโรงงาน 100% ปัจจุบันสับปะรดบริโภคผลสดตลาดเติบโตต่อเนื่อง เป็นทางเลือกคู่ขนานกับปลูกเพื่อส่งโรงงาน สัดส่วนเปลี่ยนเป็นส่งโรงงาน 85% อีก 15% ส่งไปตลาดบริโภคผลสด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะพันธุ์ MD2 เป็นพันธุ์ที่นิยมส่งออกขณะนี้ คาดว่าสับปะรดผลสดจากกลุ่มแปลงใหญ่ที่มีมาตรฐาน GAP หรือได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI จะเติบโตในตลาดเฉพาะ (Niche Market)มากขึ้น แต่ต้องบริหารจัดการควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ดี โดยเฉพาะเรื่องห้ามใช้สารความหวาน เนื่องจากบางประเทศหากตรวจเจอผลผลิตที่ส่งออกไปใช้สารความหวานจะตีคืนสินค้ากลับทั้งหมด เกษตรกรต้องตระหนักถึงคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงข้อปฏิบัติในการส่งออกอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์และโอกาสของเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ปัญหาการผลิตสับปะรด ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายและแนวทางส่งเสริมการปลูกสับปะรดออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มจังหวัดที่ปลูกสับปะรดโรงงานรอบรัศมีกลุ่มโรงงาน 100 กิโลเมตร ส่งเสริมปลูกสับปะรดเน้นเข้าโรงงานแปรรูป 11 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราดส่งเสริมการผลิตสับปะรดโรงงานและบริโภคสดในพื้นที่ที่เหมาะสมตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารเชิงรุก (Agri - Map)กลุ่มที่ 2 จังหวัด ที่ปลูกสับปะรดโรงงานแต่อยู่ห่างไกลที่ตั้งโรงงานแปรรูปฯ นอกเหนือจาก 11 จังหวัด ส่งเสริมการปลูกสับปะรดเน้นบริโภคผลสด ทั้งนี้ เพื่อจัดการอุปสงค์ อุปทานให้สมดุลจึงขอให้เกษตรกรเข้าร่วมกลุ่มเป็นแปลงใหญ่มากขึ้นเพื่อบริหารจัดการสินค้าเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี