วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติ จัดโครงการให้ความรู้กับเกษตรกรเรื่องไผ่ เศรษฐกิจของไผ่ที่จังหวัดภาคใต้หลายจังหวัดและมีผู้นำกลุ่มเกษตรกรเดินทางไปดูงานที่ภาคเหนือโดยเมื่อ 3 ปีที่แล้วเกษตรกรจากภาคใต้ได้นำกล้าไผ่ ซางหม่นไปลองปลูกที่ จ.ยะลา ปรากฏว่าปีต่อปีไผ่เติบโตแตกกอเร็วมากกว่าที่ภาคเหนือ เกษตรกรที่ภาคใต้จึงสนใจว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจไผ่ได้อย่างไร จึงเสนอเรื่องโมเดลการทำหัตถกรรมการทำประโยชน์จากไผ่อย่างง่าย เช่น แปรรูปไผ่เป็นตะเกียบ ไม้บาร์บีคิว ไม้จิ้มฟัน หรืออื่นๆ ซึ่งเกษตรกรสนใจกันมาก ต่อศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แจ้งว่ามีบริษัทด้านพลังงานมาจากเกาหลีทราบว่าที่จ.ยะลาเกษตรกรสนใจปลูกไผ่ จึงไปเจรจา นำมาสู่ภารกิจศอบต.ร่วมกับสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา ส่งเสริมปลูกไผ่เพื่อนำไปทำเป็นพลังงานชีวมวลส่งออกไปเกาหลี นำมาซึ่งบันทึกความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยแนวทางการส่งเสริมเกษตรผสมผสานผ่าน “การปลูกไผ่เศรษฐกิจ” พืชแห่งอนาคต เป็นความร่วมมือกันระหว่างสภาเกษตรกรแห่งชาติ ศอ.บต. กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนจากเกาหลีใต้ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัทดีเค เอเนอร์จี จำกัด, บริษัท วูแอม คอร์เปอเรชั่น, บริษัท จีบี เอเนอร์จี จำกัด, บริษัท วู้ดพลัส จำกัด รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งสภาเกษตรกรจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครอบคลุมสภาเกษตรกรจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา และสตูล ปฏิบัติภารกิจรวบรวม คัดกรองและคัดเลือกสมาชิกเกษตรกร องค์กรเกษตรและเครือข่ายสมาชิกองค์กรสภาเกษตรกรจังหวัดชายแดนภาคใต้เน้นเกษตรกรรายย่อยร่วมโครงการ ด้วยการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกไผ่เศรษฐกิจควบคู่ไปกับทำเกษตรผสมผสานให้ได้พื้นที่การเพาะปลูกไผ่เศรษฐกิจและพืชพลังงานที่เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น้อยกว่า 300,000 ไร่ ในระยะเวลา 3 ปี และตามกรอบเวลาดำเนินโครงการ 21 ปีตามที่กำหนด โดยเกาหลีใต้ขอให้จัดหาเกษตรกรและพื้นที่ปลูกอย่างน้อย 300,000 ไร่ เพื่อปริมาณวัตถุดิบที่มากพอจะลงทุนได้ และกำหนดเงินลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานแปรรูปเบื้องต้น โดยให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน นำไผ่มาสับ ป่น อัดแท่ง จัดส่งไปโรงงานใหญ่ที่กำลังตั้งขึ้นแล้วนำวัตถุดิบเหล่านี้ส่งออกไปทางเรือ เป้าหมายพื้นที่นำร่องปี 2562 คือ ต.กาบัง จ.ยะลา อย่างน้อย 3,000 ไร่ กับสายพันธุ์ “ซางหม่น” และ “บง” ด้วยเนื้อหนาตัน น่าจะได้ชีวมวลมาก ปริมาณมาก โดยสภาเกษตรกรจังหวัดลำปางทำหน้าที่จัดเตรียมกล้าไผ่ เอกสาร จัดเตรียมเกษตรกรร่วมกับท้องถิ่น โดย 4 บริษัทเอกชน จากเกาหลีใต้จะเป็นหน่วยรับซื้อกำหนดอัตราการซื้อขายที่ราคาระหว่าง 650-700 บาทต่อตัน เป็นระยะเวลา 21 ปี (พ.ศ. 2563-2583) ซึ่งการกำหนดราคาข้างต้นจะเป็นไปตามราคามาตรฐานอ้างอิงตลาดต่างประเทศและพิจารณาถึงประโยชน์และรายได้ของเกษตรกรเป็นสำคัญ
“มั่นใจว่าถ้าโครงการนี้เริ่มเดินหน้าภายใน 3 ปี 5 ปีพื้นที่ปลูกไผ่ที่ภาคใต้จะเป็นแปลงใหญ่มาก เกษตรกรร่วมปลูกเพราะ
รายได้ดี สร้างประโยชน์ให้เกษตรกรในพื้นที่มากและยั่งยืน” นายประพัฒน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี