“รูดม่าน-ลาโรง” กันแล้วสำหรับรัฐบาลทหารในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังบริหารประเทศมากว่า 5 ปีนับตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 “ส่งไม้ต่อ” ให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า “จะไหวหรือไม่” เพราะแม้นายกฯ ยังเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดิม แต่สถานะหลังจากนี้ไม่ใช่หัวหน้า คสช. “ไม่มีอำนาจพิเศษมาตรา 44” อีกต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่รายงาน “การประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา” พร้อมทั้งระบุถึง “นโยบายรัฐบาล คสช. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นใน ครม. ชุดใหม่” ประกอบด้วย 1.ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ด้านหนึ่งถูกคาดหวังว่าจะยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่ประเทศรายได้สูง แต่อีกด้านหนึ่งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผลกระทบต่อคนในพื้นที่
สิ่งที่ควรทำคือ ทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนาศักยภาพคน พร้อมกับสนับสนุนให้สถาบันวิจัยของรัฐ
และมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมขณะเดียวกันต้องจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้การวางแผนป้องกันและรับมือผลกระทบดำเนินอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งควรเปิดเผยข้อมูลต่างๆ สู่สาธารณะ และทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อให้การพัฒนาเกิดประโยชน์ต่อคนในพื้นที่อย่างแท้จริง
2.เศรษฐกิจดิจิทัล ที่ผ่านมารัฐบาล คสช. ดำเนินไปหลายเรื่อง บางเรื่องประสบความสำเร็จ เช่น การยกเลิกการใช้สำเนาทะเบียนบ้าน-บัตรประจำตัวประชาชนเมื่อไปติดต่อราชการ รวมถึงการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐเข้าด้วยกัน ลดภาระประชาชนในการกรอกเอกสารข้อมูลซ้ำๆ เดิมๆ หลายครั้ง รวมถึงระบบการชำระเงินแบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay) แต่ยังมีหลายเรื่องที่ยังต้องปรับปรุง เช่น อินเตอร์เน็ตประชารัฐ หรือการพัฒนาแอพพลิเคชั่นของหน่วยงานรัฐที่มีเป็นจำนวนมากแต่ส่วนใหญ่พบว่าใช้งานไม่ได้จริง
นอกจากนี้ยังมีบางเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เช่น การใช้ ม.44 อุ้มผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือพ่วงไปกับการอุ้มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรวมถึงการออกกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ที่ให้อำนาจรัฐสูงมากแต่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลในระดับที่เหมาะสม สิ่งที่ควรปรับปรุง เช่น ลดปัญหาจากกฎระเบียบเพื่อให้ธุรกิจประเภทสตาร์ทอัพ (Start Up) อยู่รอดและเติบโตได้ เร่งจัดทำฐานข้อมูลแบบเปิด เพื่อให้ประชาชนและเอกชนใช้งานได้ อีกทั้งควรแก้ไขกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์เพื่อให้ได้สมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน
3.นโยบายภาคเกษตรและประมง รัฐบาล คสช. ถือว่ามีผลงานทั้งการระบายข้าวค้างสต๊อก การแก้ไขปัญหา
การทำประมงผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม รัฐบาล คสช. ยังคงใช้มาตรการอุดหนุนเกษตรกรในรูปแบบต่างๆ เช่น การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าว การให้สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว การชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสีในการเก็บสต๊อกข้าว เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่การแทรกแซงกลไกตลาด แต่ก็ไม่ทำให้ชาวนาปรับโครงสร้างการผลิต และยังส่งผลให้รัฐขาดงบประมาณเพิ่มมูลค่าผลผลิตในระยะยาวโดยเฉพาะด้านการวิจัย
ขณะเดียวกันในด้านการแก้ไขปัญหาของชาวประมง พบว่ายังมีความขัดแย้งกันระหว่างประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน อีกทั้งการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านการเปลี่ยนเรือใหม่แทนเรือเก่าที่ต้องถูกห้ามใช้ยังล่าช้า นอกจากนี้ การแก้ปัญหาราคายางพารา หน่วยงานหลักคือ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ จึงมีหน้าที่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มชาวสวนยางและโรงงานแปรรูป ยังไม่ถึงขั้นเป็นแกนหลักด้านการเพิ่มมูลค่าผลผลิต ดังตัวอย่างของ สถาบันวิจัยยางของมาเลเซีย (RRIM) ที่มีบทบาทดังกล่าวมาก
สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ และครม.ชุดใหม่ควรดำเนินการ เช่น การวิจัยที่อิงความต้องการของตลาด เน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มการผลิตสินค้ามูลค่าสูง และช่วยเกษตรกรปรับตัวรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกำหนดทิศทาง เป้าหมายและออกค่าใช้จ่ายบางส่วน ปรับบทบาทของรัฐจากผู้ดำเนินการส่งเสริมเอง มาเป็นผู้สนับสนุนทุนและทรัพยากรในการส่งเสริมการเกษตรของภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน มหาวิทยาลัยและกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภายใต้บริบทพื้นที่ที่ต่างกัน
รวมถึงปรับโครงสร้างภาคเกษตรให้แข่งขันได้ โดยส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนการผลิตในระยะยาว ทั้งชนิดพืช เทคโนโลยี ปรับปรุงที่ดินเพื่อทำเกษตรมูลค่าเพิ่มสูงหรือเกษตรแปลงใหญ่ โดยให้เกษตรกรผู้เช่าและเจ้าของที่ดินร่วมกันลงทุนระยะยาวในรูปนิติบุคคลหรือในระบบพันธะสัญญาเพื่อลดความเสี่ยง โดยรัฐสนับสนุนด้านความรู้ การเงิน และขจัดอุปสรรคด้าน
กฎระเบียบ เช่น กฎหมายเช่าที่ดินและบังคับคดี ซึ่งทำให้ต้นทุนของเกษตรกรสูง
4.ด้านการศึกษา รัฐบาล คสช. มีผลงาน อาทิ การตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งสร้างระบบสารสนเทศเพื่อระบุตัวตนเด็กยากไร้ และสามารถจัดสรรเงินช่วยเหลือไปแล้วราว 4 แสนคน การจัดตั้งพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาขึ้นมาใน 6 พื้นที่ เพื่อใช้กลไกจังหวัดขับเคลื่อนการศึกษา ขยายผลนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ และเพิ่มอิสระให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ซึ่งเข้าร่วม รวมถึงการออก พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างหลักประกันให้เด็กเล็กได้รับการดูแลพัฒนาการอย่างเหมาะสม
แต่ยังมีปัญหา เช่น โครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ แม้รัฐบาลมีเป้าหมายอยากให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอื่นๆ บ้าง แต่ครูจำนวนมากไม่สามารถออกแบบกิจกรรมที่เสริมการเรียนรู้ได้ นโยบายต่างๆ ยังเน้นการสั่งการจากส่วนกลาง (Top-Down) รวมถึงการเรียนในภาคอาชีวศึกษายังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้เทียบเท่าภาคอุดมศึกษา และการย้ายสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนจากสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ไปอยู่ใต้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั้งที่ สอศ. ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการกำกับดูแล
สิ่งที่ควรปรับปรุง เช่น เพิ่มทรัพยากรให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อให้ทำงานลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้มากขึ้น ทบทวนคำสั่งม.44 ที่สร้างผลกระทบกับแวดวงการศึกษาโดยผ่านการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านทุกภาคส่วน เป็นต้น และโดยเฉพาะ “ลดการประเมิน” ที่สร้างภาระให้กับครูอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาการประเมินหลายอย่างมีความซ้ำซ้อนกัน ทำให้ครูมีเวลาสอนน้อยลง
(โปรดติดตามต่อวันพรุ่งนี้)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี