อันที่จริงแล้วเรื่องเกษตรอินทรีย์ เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำทั้งในทางที่ดีและทางที่ร้ายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กว่า 40 ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาบริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากรัฐมนตรีท่านใดก็ตาม แต่ผลที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมที่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็นบทบาทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงไม่ชัดเจน นอกจากเครื่องหมายรับรอง Organic Thailand และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่พัฒนาออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมและจับต้องได้ แต่เมื่อสืบลึกลงไปถึงเกษตรกรผู้อยู่ในระบบเกษตรอินทรีย์จริงๆ กลายเป็นว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเกษตรกรอินทรีย์เพราะการสนับสนุนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่เป็นเพราะเกษตรกรเหล่านั้น เล็งเห็นประโยชน์ของการทำเกษตรอินทรีย์ด้วยตนเองมากกว่า
ปัญหาของความเข้าใจต่อระบบการผลิตแบบอินทรีย์ในระดับนโยบาย จึงส่งผลให้การกำหนดนโยบายเกษตรอินทรีย์มีความบิดเบี้ยว เกิดอนุสาวรีย์จากนโยบายเกษตรอินทรีย์หลายอย่างที่สร้างตราบาปให้กับผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หรือการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางผ่านของความชอบธรรมในการกำหนดนโยบายเพื่อให้เกิดการจัดซื้อ จัดจ้าง จัดหา ที่ไม่ตอบโจทย์ข้อเท็จจริงของเกษตรอินทรีย์ แต่อาจตอบโจทย์ของผู้กำหนดนโยบายนั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ในขณะที่ฝ่ายที่อยู่ด้านการตลาด มักจะให้ข้อมูลเสมอว่าตลาดของเกษตรอินทรีย์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก มีความต้องการแน่นอน ผลิตมาเท่าใดก็ขายได้แน่นอน เป็นการตอกย้ำข้อมูลจนกลายเป็นความเชื่อที่ว่าทำเกษตรอินทรีย์เถอะขายได้ เมื่อมองกลับมายังฝ่ายผลิต จะพบว่ามีเกษตรกรที่อยู่ในระบบเกษตรกรอินทรีย์ไม่มาก ทั้งที่ๆ ทุกยุคทุกสมัยต่างเห็นว่าเป็นนโยบายสำคัญ และออกนโยบายมาสนับสนุนหลากหลายรูปแบบ การเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ของประเทศก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย มันมีความผิดพลาดใดในนโยบายเหล่านั้น
เมื่อเกษตรอินทรีย์ไม่คืบ สิ่งที่คืบหน้าชัดเจนคือการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรและปุ๋ยเคมีเข้ามาในประเทศ เป็นปริมาณเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แสดงว่าแผนการตลาดของบริษัทขายปุ๋ย-ขายยาแรงกว่าแผนการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของภาครัฐหรือไม่ หรือเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองเพื่อจะทุบหัวใคร ประเด็นนี้ก็ไม่อาจทราบได้
มุมหนึ่งที่น่าคิดคือ เกษตรอินทรีย์มีหลายทฤษฎีหลายสำนัก แต่ละทฤษฎีแต่ละสำนักก็มีวิธีดำเนินการที่แตกต่างกันไป ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค บางครั้งความน่าเชื่อถือก็ถูกทำลายโดยบางองค์กร ที่ออกมาประโคมข่าวทางลบตลอดเวลา จริงบ้างเท็จบ้างก็ว่ากันไป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการหางบประมาณมาดำเนินกิจกรรมขององค์กรตนเอง วนๆกันไป ในที่สุดแล้ว ผลการกระทำของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็กระทบลงที่ประเทศไทย ณ จุดเดียว ตกลงแล้วประเทศไทยจะยอมให้เกษตรอินทรีย์เป็นเพียงการสร้างภาพ สร้างความน่าเชื่อถือ แต่กลับซ่อนไว้ด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ความล้มเหลว และปัญหาที่ต้องตามแก้กันไม่รู้จักจบสิ้น แต่ที่ต้องจบแน่ๆ คงหนีไม่พ้นเกษตรกรและการเกษตรของไทย
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี