25 กรกฎาคม 2562 นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวขณะเดินทางมาเป็นประธาน ปิดโครงการฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคกลาง หลักสูตรเสริมสมรรถนะผู้นำหน่วยดับไฟป่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 จำนวน 1 รุ่น ที่บริเวณศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคกลาง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช หมู่ 1 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ว่าปัจจุบันคนไทยทุกคนคงทราบดีว่า สถานการณ์ไฟป่า โดยเฉพาะเรื่องของหมอกควันจากไฟป่า มันมีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี โดยปี 2561 ที่ผ่านมา สถานการณ์ควันไฟเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเป็นห่วงเป็นใย ในเรื่องนี้มาก
โดยปีที่ผ่านมา พระองค์ท่าน ได้พระราชทานเครื่องเป่าลมให้กับทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ เอาไว้ใช้ในกิจกรรมดับไฟป่า ทางกรมอุทยานฯ โดยท่านอธิบดีกรมอุทยานฯ นายธัญญา เนติธรรมกุล ก็อยากให้มีการเพิ่มศักยภาพการทำงานของคณะเจ้าหน้าที่
ก็คือหัวหน้าผู้นำในเรื่องของการดับไฟป่า หัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทั้งหมด ต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อนเพราะปีหน้าเชื่อว่าเราจะต้องผจญกับเรื่องของหมอกควันจากไฟป่าอีก หัวหน้าชุดที่มาฝึกอบรมระหว่างวันที่ 21-23 ก.ค.ที่ผ่านมา จะได้นำความรู้และประสบการณ์จากการฝึกอบรมต่างๆไปทำความเข้าใจกับ ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้องหรือเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกครั้งหนึ่ง
การฝึกอบรมมันจึงเป็นเรื่องของการทบทวน ทั้งด้านทฤษฎี ทั้งภาคปฏิบัติ ในการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกันในปีต่อไป ไฟป่าจะมาในช่วงเดือนมีนาคม เดือนเมษายน ของปีถัดๆไป ซึ่งตอนนี้เราได้เริ่มเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว
การถอดบทเรียนครั้งนี้เท่าที่พอจะสรุปได้ว่าในปีถัดไปเราจะต้องมีมาตรการต่างๆเข้ามาเสริมเพิ่มคือเรื่องของการลดปริมาณเชื้อเพลิง หรือการชิงเผาก่อนการห้ามเผา โดยเฉพาะ 9 จังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งมีปัญหาทุกปี เราก็จะมีการมาทำความเข้าใจ ในเรื่องของพื้นที่เกษตรกร หรือว่าพื้นที่ในป่าจะต้องมีการจัดการเรื่องของวัสดุ เศษวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิง เราจะจัดการกันยังไง ให้มันหมดไปก่อนจะถึงฤดูกาล
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการจัดการแนวกันไฟ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนก็แล้วแต่ สำนักงานของกรมอุทยานฯหรือกรมป่าไม้ ต้องมาบูรณาการร่วมกันว่าตรงไหนควรทำตรงเป็นจุดที่ล่อแหลม เรื่องการบังคับใช้กฎหมายถึงช่วงเวลาที่เราไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็คือช่วงเวลา 60 วัน ซึ่งทางภาคเหนือเขาจะมีมาตรการณ์ 60 วัน ก่อนการห้ามเผา ก็ต้องมีการนำมาตรการการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดอย่างเฉียบขาด
ขณะเดียวกันจะมีการทำความเข้าใจกับกฎหมายใหม่ กฎหมายของกรมอุทยานแห่งชาติ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า จะมีการเพิ่มโทษในเรื่องของการที่คนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในช่วงนั้น สิ่งสำคัญสุดท้ายก็คือเรื่องขององค์กรจิตอาสา ปีหน้าก็คงจะมีสมาชิกจิตอาสาเข้ามาช่วยเราในการป้องกันเรื่องของไฟป่าเพิ่มขึ้น
'ตนมีความเป็นห่วงเป็นใย เรื่องสุขภาพของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ปีหน้าก็คงจะมีการบังคับให้เจ้าหน้าที่ของเราที่ขึ้นไปดับไฟ มีอุปกรณ์ป้องกันตัว ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา หน้ากาก ถึงเวลาไปดับไฟอุปกรณ์ต่างๆที่ยังขาดอยู่เราจะเสริมเข้าไปเพื่อดูแลสุขภาพของเขาด้วย เพราะว่าในปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ของเราขึ้นไปดับไฟป่ามักจะได้รับ ควันจากการเกิดไฟป่าเข้าตาเข้าจมูกบ้าง ซึ่งบางครั้งเขาก็ไม่รู้ตัวเพราะฉะนั้นเราต้องมีการป้องกัน เจ้าหน้าที่ของเราด้วย
สำหรับเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง ตรงนี้เราเริ่มที่จะตั้งหลักกันได้พอสมควร เรามีการกำหนดพื้นที่ที่ควบคุมที่ราษฎรอาศัยอยู่ เรามีการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายออโต้สีรุ้ง เพราะฉะนั้นถ้ามีการบุกรุกเพิ่มเข้ามา ต่อไปไม่ต้องคุยกันแล้ว เพระเรารู้หมดแล้วว่าพื้นที่มันอยู่ตรงไหนบ้าง ป่าที่เหลืออยู่ทั้งหมด 66 ล้านไร่ของกรมอุทยาน ตอนนี้มีประชาชนเข้าไปอยู่ประมาณ 4.8 ล้านไร่ เรารู้หมดแล้วว่า อยู่ตรงไหนบ้าง เพราะฉะนั้นจะไม่มีการบุกรุกมากไปกว่านี้อีก ถ้ามีการขยับพื้นที่เมื่อไหร่เราจะเข้าไปดำเนินคดีทันที
ส่วนในเรื่องของการที่มีนายทุนเข้าไปส่งเสริมให้ราษฎร เข้าป่าก็คงอาจจะมีบ้างแต่คงไม่มาก แต่น่าจะเป็นกิจกรรมของราษฎรที่อยู่ติดพื้นที่ป่าที่มีการทำการเกษตรการเตรียมพื้นที่ เวลาจะกำจัดเศษวัสดุ ในการทำการเกษตรก็จะใช้วิธีการเผา โดยไม่มีการควบคุมไฟมันก็จะลุกลามเข้าไปในป่า โดยเฉพาะป่าเต็งรัง
อีกประเด็นก็คือเรื่องของการล่าสัตว์ บางครั้งก็จุดไฟเผาเพื่อให้สัตว์ป่าวิ่งเข้ามารวมกัน เพื่อที่จะได้ล่าได้สะดวกขึ้น หรือรวมทั้งการเก็บหาของป่า เช่น เห็ดเผาะ และของป่าชนิดอื่นๆ ชาวบ้านก็จะใช้วิธีการเผา เพื่อที่จะเดินเข้าไปในพื้นที่ได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งหลักๆก็จะมี แค่ 3 กรณีนี้ ที่เราจะต้องเข้าไปจัดการ
เมื่อถามว่าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มีการบุกรุกด้วยวิธีการเผาเพิ่มขึ้นหรือไม่ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตอบว่า การเผาอันที่จริงไม่ใช่การบุกรุก แต่เป็นเพียงแค่เมื่อเผาแล้วไฟจะลามเข้าไปในผืนป่า และจะทำให้ระบบนิเวศมันเสียหายไปเท่านั้น
การบุกรุกป่าส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าไปแผ้วถางเพื่อเปิดพื้นที่ แล้วลงมือทำการเกษตรเลย กรณีนี้ยังมีอยู่ แต่ว่าเปอร์เซ็นต์ที่ผ่านมา จากรัฐบาลชุดที่แล้ว หรือรัฐบาล คสช.ที่มาช่วยกันทำงาน มีการป้องกัน มีการบูรณาการร่วมกันระหว่าง มหาดไทย-ทหาร-ป่าไม้ ช่วยกันปรากฏว่า 4 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ยังมีการบุกรุกอยู่ แต่ว่าลดน้อยลงเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนี้
เมื่อก่อนนี้การบุกรุกพื้นที่อยู่ที่ปีละประมาณ 100,000 ไร่ หรือหลายแสนไร่ แต่ว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่ของกรมอุทยานฯมีการบุกรุกลดลงเหลือหลักหมื่นไร่ต่อปี และลดลงในแต่ละปี เหลือหลักพันหรือหลักหมื่นไร่ต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าลดน้อยลงไปมาก ถามว่าการบุกรุกจะหมดไปหรือยัง ตอบได้เลยว่ายังไม่หมด เพราะที่ผ่านมายังมีการจับกุม การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาไม่ว่าจะเป็นดาวเทียม ถ้ามีการบุกรุกตรงไหน ต่อไปเราก็จะรู้หมดและสามารถเข้าไปดำเนินการจับกุมได้ทันที
แต่ในส่วนของกรมอุทยานฯ จะเน้นไปในเรื่องของราษฎรที่อาศัยอยู่ติดกับชายป่าหรืออาศัยอยู่กลางป่า และมีอาชีพทำการเกษตร และขอให้เกษตรกรที่มีวิถีชีวิตเข้าไปพึ่งพิงธรรมชาติ ขอให้ช่วยกันดูแล ในช่วงฤดูที่เกิดเหตุการณ์แรงๆ โดยเฉพาะช่วงเดือน มี.ค-เม.ย.ของทุกปี โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ หรือแม้แต่ภาคกลางเช่น แถบจังหวัดกาญจนบุรี ก็จะเป็นฤดูที่มีการเผาทำให้เกิดหมอกควันจากไฟป่าเพิ่มขึ้นเยอะเป็นพิเศษ
'เรื่องของหมอกควันจากไฟป่า มันเป็นมลพิษทางอากาศ ที่เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไป แล้วมันจะก่อให้เกิดโรคในระยะยาว มันก็เหมือนกับการ ที่เราสูบบุหรี่วันนี้เรายังไม่เห็นผลของการสูบบุหรี่ ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเสียชีวิต แต่จะสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งเราก็คงจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของมลพิษจากควัน ก็ฝากให้ช่วยกันดูแล ช่วยกันเป็นหูเป็นตา การป้องกันคือวิธีที่ดีที่สุด การป้องกันไม่ให้จุด ดีกว่าเราไปไล่จับ'
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากไปถึงประชาชนที่พบเห็นการเผาทำลายป่า หากพบขอให้โทรแจ้งที่สายด่วน 1362 (ศูนย์สายด่วนพิทักษ์ป่า) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี