เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ออกมาแถลงว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยในระบบของกองทุนบัตรทอง ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีทางการเกษตรกว่า 3,000 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตกว่า 400 ราย เบิกจ่ายค่ารักษากว่า 14 ล้านบาท
สปสช.ได้แบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามประเภทของสารเคมีออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสารเคมีกำจัดแมลง มีจำนวนผู้ป่วย 705 ราย เสียชีวิต 58 ราย กลุ่มสารเคมีกำจัดวัชพืช และเชื้อรา มีจำนวนผู้ป่วย 1,337 ราย เสียชีวิต 336 ราย และกลุ่มสารเคมีทางการเกษตรประเภทอื่นๆ มีผู้ป่วยจำนวน 1,205 ราย เสียชีวิต 13 ราย
นอกจากนี้ สปสช. ยังได้โชว์ตัวเลขย้อนหลังไป 3 ปี แต่ละปีมีผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีทางการเกษตรปีละเกือบ 5,000 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตรวมทั้ง 10 เดือนที่ผ่านมาด้วยเป็นจำนวนกว่า 2,000 ราย เสียค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 20 ล้านบาท ซึ่ง สปสช. ใช้คำว่าเป็นข้อมูล “เชิงประจักษ์”
ข้อมูลดังกล่าวถ้าฟังแบบไม่คิดหาเหตุผลที่มาที่ไป ก็ออกจะดูน่ากลัว สปสช. ไม่ได้บอกว่าในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดนี้ เป็นเกษตรกรผู้ใช้สารเคมีฉีดพ่นในแปลงผลิตพืชจำนวนเท่าไร เป็นผู้ที่มีอาชีพอื่นที่ไม่อยากได้รับสารเคมีจำนวนเท่าไร หรือเป็นผู้ตั้งใจจะใช้สารเคมี หรือเรียกง่ายๆ ว่า ยาฆ่าแมลงเพื่อจบชีวิตตัวเองจำนวนเท่าไร ในระหว่างที่เขียนอยู่นี้ก็ดูข่าวโทรทัศน์ มีชายผู้หนึ่งใช้สารกำจัดวัชพืชดื่มฆ่าตัวตาย กล้องจับภาพขวดสารเคมีดังกล่าวให้เห็นชัดเจน และเชื่อว่านี่เป็นประเภทหนึ่งในจำนวนผู้ป่วยของ สปสช.
ถ้าผู้ป่วยจำนวนมากเป็นเกษตรกรที่ใช้สารเคมีทางการเกษตรจริงๆ แสดงว่า เกษตรกรใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งการป้องกันตนเอง ป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว ปริมาณการใช้ และ ระยะเวลาที่ปลอดภัยในการเก็บเกี่ยว เราควรแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความรับผิดชอบของเกษตรกร
ถ้าเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์จริงๆ ตามที่สปสช.ยืนยัน สปสช. น่าจะมีรายละเอียดแยกแยะได้ว่า การรับสารเคมีทางการเกษตรของผู้ป่วย รับมาอย่างไร ด้วยวิธีไหน เพื่อช่วยกันแก้ไขสาเหตุของปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฟันธงว่าข้อมูลนี้คือผลกระทบของการใช้สารเคมีทางการเกษตร ถ้าฟันธงง่ายๆ แบบนี้ฝ่ายที่ใช้สารเคมีก็ฟันธงได้ว่าถ้าไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสิ รับรองได้ว่าผลผลิตพืชต่างๆ จะขาดแคลน ราคาผลผลิตต่างๆ จะสูง จะอดอยากกันไปทั่ว....ถ้าประเทศเป็นอย่างนี้ พี่ไหวหรือ.....
สารเคมีทางการเกษตรมีทั้งประโยชน์ และโทษ เขาจึงมีกฎ กติกา การผลิต การจำหน่ายการมีไว้ในครอบครอง ภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และมีคำแนะนำการใช้ที่ถูกต้องกำกับไว้อย่างชัดเจนที่ภาชนะบรรจุ.....
สปสช. ฟันธง ยังไม่เท่าไร กระทรวงเกษตรฯ ฟันธงเองนี่น่าห่วง.....
ที่ว่าน่าห่วงเพราะ เป็นการประกาศของ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ว่าจะแบนสารเคมี 3 ชนิดที่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานให้ทันก่อนสิ้นปี ผู้ที่สะดุ้งแปดตลบน่าจะเป็น กรมวิชาการเกษตร หน่วยงานที่กำกับดูแล พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และเป็นผู้ที่ชงประกาศกระทรวงเกษตรฯ ว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ผู้ที่สะดุ้งรองลงมาสักหกตลบน่าจะเป็นกรมส่งเสริมการเกษตร ที่อุตส่าห์ระดมสรรพกำลังบริหารจัดการ การอบรมและการสอบเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรมีสิทธิ์ซื้อสารเคมีไปใช้ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯว่าด้วยการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด แต่อาจจะแอบดีใจถ้าแบนได้จริงๆ เพราะงานนี้เป็นงานที่แสนหนักหนาสาหัสสำหรับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่
ถ้าจะแบนจริงๆ รัฐมนตรีควรจะประกาศชะลอการอบรมเกษตรกรออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าทั้งเจ้าหน้าที่ และเกษตรกร
สารเคมี 3 ชนิดที่ว่านี้ คือ สารกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต และ ไกลโฟเซต สารกำจัดแมลงศัตรูพืช 1 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอสถ้าสารเคมี 3 ชนิดนี้ แบนได้ง่ายๆ คณะกรรมการวัตถุอันตรายคงแบนไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงมือรัฐมนตรี มนัญญา
เหตุผลของการแบน ไม่ใช่เพราะใช้มานานแล้ว อย่างที่ท่านรัฐมนตรีว่า สารเคมีที่ใช้มานานแล้ว และเกษตรกรยังใช้อยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าต้องมีอะไรดีเกษตรกรจึงยังนิยม และออกมาคัดค้านผู้ที่ต้องการแบน ตามธรรมดาของเกษตรกรมักจะชอบลองของใหม่ ใครแนะนำว่าอะไรดีก็มักจะซื้อหามาทดลอง แต่ถ้าลองแล้วไม่ดีไปกว่าของเดิมก็จะไม่ได้รับความนิยม
สำหรับสารกำจัดวัชพืช 2 ชนิดนี้ ปัจจุบัน มีสารเคมีชนิดอื่นมาแทน แต่สารเคมีที่มาทดแทนมีราคาสูงกว่า 5 เท่า และประสิทธิภาพไม่ได้ดีไปกว่าเดิม เช่นนี้เกษตรกรก็คงรับไม่ไหว หรือจะใช้สารชีวภัณฑ์ที่ว่ากันว่าใช้ได้ผล แต่เมื่อนำสารชีวภัณฑ์นั้นมาตรวจวิเคราะห์ก็พบว่ามีสารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอต และไกลโฟเซต ผสมอยู่ด้วยเช่นนี้จะเป็นชีวภัณฑ์ได้อย่างไร
อยากให้ท่านรัฐมนตรี มนัญญา ค่อยๆ ศึกษาเรื่องสารเคมี 3 ชนิดนี้ให้รอบด้าน ศึกษาข้อมูลจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเกษตรกร...อย่าเพิ่งรีบฟันธง....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี