23 ส.ค. 2562 นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประชุมรับฟังความเห็นจากคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบข้ามพรมแดน (ETO Watch Coalition) และองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องในไทยและเมียนมา เรื่อง ขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ติดตามกรณีโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) เป็นการเฉพาะ ณ สำนักงาน กสม.
โดยผู้แทนคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบข้ามพรมแดนและผู้แทนชาวบ้านเมียนมาที่ได้รับผลกระทบ นำเสนอปัญหาและความคืบหน้าสรุปว่า โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา มาตั้งแต่ปี 2551 ปัจจุบันมีการร่วมลงทุนโดยบริษัทสัญชาติไทย เมียนมา และญี่ปุ่น ขนาดโครงการครอบคลุมพื้นที่ 196 ตารางกิโลเมตร หรือราว 8-9 เท่า ของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ประกอบด้วยพื้นที่สามส่วนหลัก
ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึก เขื่อน และถนนเชื่อมต่อพรมแดนไทย-เมียนมา โดยที่ผ่านมาระหว่างที่มีการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมแก่ชุมชนในหลายมิติ เช่น ปัญหาการขาดแคลนน้ำ การขาดที่ดินทำกิน และสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมถึงการอพยพย้ายที่อยู่อาศัย โดยที่การดำเนินโครงการขาดกระบวนการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้ปัญหาของประชาชนไม่ได้รับการแก้ไขและยังคงได้รับความเดือดร้อนมาต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2558 กสม. ได้ตรวจสอบมีรายงานผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่ภาคประชาสังคมได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจทวาย กระทั่ง ครม. มีมติเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2559 รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ กสม. ในเรื่องดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ควรมีการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนในโครงการ
และสนับสนุนให้มีกลไกกำกับดูแลและส่งเสริมให้ผู้ลงทุนสัญชาติไทยเคารพต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งจากการติดตามการดำเนินการตามมติ ครม. นี้ ภาคประชาสังคมพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางส่วน ยังไม่ทราบและไม่ได้นำมติ ครม. ไปปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ จึงร้องมายัง กสม. เพื่อขอให้ติดตามการปฏิบัติตามมติ ครม. ของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งติดตามการดำเนินการของบริษัทผู้พัฒนาโครงการซึ่งเป็นผู้กระทำการละเมิดให้ปฏิบัติตามมติ ครม. ดังกล่าวด้วย
นางประกายรัตน์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว กสม. ได้มีรายงานผลการตรวจสอบไปเมื่อปี 2558 โดยมีข้อเสนอให้บริษัทไทยผู้พัฒนาโครงการดำเนินการชดเชยและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมด้วยกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วม และเสนอให้ ครม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งกลไกในการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนสัญชาติไทย
และนำหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (The United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights : UNGPs) มาเป็นกรอบในการดำเนินการ ซึ่ง ครม. ตอบรับข้อเสนอแนะดังกล่าวของ กสม. โดยนับตั้งแต่ปี 2560 กสม. ได้ผลักดันให้ หน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจไทยลงนามในปฏิญญาขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนฯ ร่วมกัน เพื่อให้การเคารพ คุ้มครอง และเยียวยาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอันเกิดจากภาคธุรกิจเกิดผลปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้แม้ปัจจุบัน การตรวจสอบเรื่องผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจข้ามพรมแดนจะเกินขอบเขตอำนาจของ กสม. แต่ กสม. ได้ดำเนินการผลักดันให้รัฐบาลมีกลไกหรือมาตรการในการกำกับดูแลและส่งเสริมให้ผู้ลงทุนสัญชาติไทยที่ไปลงทุนในต่างแดนเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และบรรจุมาตรการดังกล่าวไว้ในร่างแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights : NAP) ซึ่งรัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำและนำไปปฏิบัติใช้
“ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเริ่มตอบรับและเข้าใจประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดย กสม. ได้ให้ความสำคัญและดำเนินงานขับเคลื่อนประเด็นนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตนหวังว่าประชาชนในพื้นที่โครงการพัฒนาต่างๆ จะได้รับการคุ้มครองและการเยียวยาผลกระทบอย่างเสมอหน้า แม้ว่าหลายรายอาจต้องเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น สละที่ดินทำกิน แต่สมควรต้องได้รับการชดเชยความเสียหายอย่างเป็นธรรม เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขร่วมไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืนได้” นางประกายรัตน์ กล่าว
ขณะที่ นายโสพล จริงจิตร เลขาธิการ กสม. กล่าวเสริมว่า สำนักงาน กสม. จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือติดตามเรื่องการดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2559 กรณีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และจะหารือประเด็นผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจข้ามพรมแดนจากโครงการดังกล่าวในเวทีระดับสากลผ่านกลไกสถาบันสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาคและคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี