“รัฐธรรมนูญฉบับ 2560” ที่ประกาศใช้ตั้งแต่เมื่อ 6 เม.ย. 2560มีจุดเด่นประกาศหนึ่งอยู่ที่ “มาตรา 77”ที่กำหนดให้บรรดากฎหมายฉบับใหม่ๆ ที่จะออกมาบังคับใช้ จะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้-เสียนอกจากนี้ยังกำหนดให้กฎหมายทุกฉบับมีการประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อปรับปรุงกฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป รวมถึงยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย
ซึ่งหลังจากผ่านพ้นยุครัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไปแล้ว ประเทศไทยกลับสู่บรรยากาศประชาธิปไตย จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อเดือน มี.ค. 2562 และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่เมื่อเดือน ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา หลายภาคส่วนก็เริ่มเคลื่อนไหวประเด็นที่ตนเองสนใจเพื่อหวังว่าจะได้รับการพิจารณาเป็นกฎหมายจากรัฐสภา โดยเมื่อเร็วๆ นี้ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ได้จัดงานเสวนา “Policy Watch เสวนาจับตาการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล” เพื่อพูดถึงประเด็นนี้
สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การเมืองไทยเริ่มเปลี่ยนไปนับจากการเกิดขึ้นของ “รัฐธรรมนูญฉบับ 2540” ที่ส่งผลให้
“พรรคการเมืองต่างๆ หันมาเอาจริงเอาจังกับการนำเสนอและผลักดันนโยบายมากขึ้น” มากกว่าเน้นที่ตัวบุคคลหรือตั้งนโยบายไว้แต่พอได้ตำแหน่งก็ละเลยไม่ทำตามที่สัญญาไว้
“เรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมันเขียนมาหลายรัฐธรรมนูญ แต่ฉบับ 2540 เหมือนจะเขียนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และพยายามเน้นย้ำให้เห็นว่าใครที่มาเป็นรัฐบาล คุณมีแนวนโยบายที่จะต้องทำ แล้วรายละเอียดของนโยบายรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เป็นต้นแบบของการเขียนนโยบายที่เป็นรูปธรรมที่ชี้ชัดจะเรียนฟรีกี่ปี จะให้บริการเรื่องไหนฟรีแล้วจะให้เรื่องอะไรถ้วนหน้า ก็จะกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญเลย”สติธร กล่าว
ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวต่อไปว่า “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560” ได้ทำให้เรื่องนโยบายชัดขึ้นไปอีก ด้วยการเพิ่มหมวด “หน้าที่ของรัฐ” เพื่อแก้ไขปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 คือ “หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐใช้คำว่า “พึงทำ” หมายถึงรัฐบาลอาจทำหรือไม่ทำก็ได้ จึงต้องแยกบางเรื่องออกมาและใช้คำว่า “ต้องทำ”ดังนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือละเลยได้” และยังมีกลไกติดตามทวงถามด้วย
สติธร ธนานิธิโชติ
โดยการกำหนดหมวดหน้าที่ของรัฐคาดว่ามาจากสาเหตุ 2 เรื่อง 1.กลัวรัฐบาลเข้ามาแล้วไม่ทำนโยบายพื้นฐานที่สำคัญ เพราะเอาแต่ไปเน้นทำนโยบายที่ได้คะแนนเสียงมากๆ เป็นหลักกับ 2.กลัวนโยบายประชานิยม เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนให้ทำแล้วก็ไม่ต้องนำไปอวดอ้างว่าเป็นผลงานอีก นอกจากนี้ยังกำหนดให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลต้องบอกแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะทำมาใช้ทำนโยบายต่างๆ ด้วย เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับ2560 ยังการกำหนดกรอบ “กระบวนการออกและทบทวนกฎหมาย” โดยอยู่ใน “มาตรา 77” ภายใต้ 4 หลักคือ 1.ความจำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดการออกกฎหมายพร่ำเพรื่อแต่ไม่เกิดประโยชน์หรือเอื้อให้อำนาจฝ่ายบริหารแบบไร้ขอบเขต 2.การรับฟัง ต้องรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้-เสีย เพื่อนำมาเป็นแนวทางยกร่างกฎหมาย 3.การวิเคราะห์ผลกระทบ นำแนวทางต่างๆที่ได้รับฟังจากทุกฝ่ายมาวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ และ 4.ประเมินประสิทธิภาพ ทบทวนกฎหมายที่มีเป็นระยะๆ เช่นทุกๆ 3 ปี 5 ปี เป็นต้น
“ของเราตอนนี้เถียงกันเยอะว่าพอฝ่ายบริหารเสนอกฎหมายมาแล้วสภาต้องรับฟังอีกไหม? อย่างไร? เอาไปไว้ใน lawamendment (เว็บไซต์กลางของภาครัฐที่เผยแพร่ร่างกฎหมายซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำ)เหมือนเดิมไหม? แขวนกันไป-มาอย่างนี้หรือ? หรือเปิดเว็บไซต์ตัวเองแล้วเอาร่างกฎหมายของ ครม. ไปแปะมันก็จะมีปัญหากลไกการทำงาน รวมไปถึง สส. หรือ สว. (สมาชิกวุฒิสภา) บางส่วนบอกไม่ต้อง สภาไม่เกี่ยว เสนอมาเรามีกระบวนการกรรมาธิการ (กมธ.) อยู่แล้ว ถ้ายังรับฟังใครก็เชิญคนมาให้ข้อมูลได้ไม่ต้องทำระบบอะไรขึ้นมาใหม่
แต่ว่าการผลักดันกฎหมายมันไม่ได้ริเริ่มโดย ครม. อย่างเดียว มันยังมีฝ่ายนิติบัญญัติริเริ่มได้เองอีกนะ สส. 20 คน เข้าชื่อกันเสนอกฎหมายแล้วกฎหมายไม่ใช่แค่เอาไปบังคับคนให้ทำโน่นทำนี่ กฎหมายจำนวนหนึ่งที่ริเริ่มโดย สส. มันคือการไปเปลี่ยนนโยบายบางอย่างที่ สส. มองว่าฝ่ายบริหารไม่ยอมทำหรือที่ทำมาแนวทางไม่ถูก เดี๋ยว สส. เข้าชื่อกันแล้วไปสู้กันในสภา หรือประเทศไทยไปไกลกว่านั้นคือประชาชนเข้าชื่อได้อีกกระบวนการเหล่านี้คำถามพอมีมาตรา 77 แล้วก็ต้องดำเนินการรับฟัง อันนี้ก็ซับซ้อนแล้วว่าจะทำอย่างไร” สติธร ยกตัวอย่าง
ขณะที่ ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การติดตามทวงถามการดำเนินนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ประชาชนไม่ควรติดตามเฉพาะนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงฝ่ายค้านด้วยว่ามีความพยายามผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้มากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ต้องแยกแยะว่าด้านหนึ่งนโยบายรัฐบาลก็คือนโยบายของพรรคที่ได้เป็นรัฐบาล แต่ สส. คือตัวแทนของคนในพื้นที่ ดังนั้นก็มีความต้องการนโยบายของพื้นที่ด้วย เช่น มังคุดภาคใต้ล้นตลาด สส.ภาคใต้จะทำอะไรได้มากกว่าการบอกว่าให้นำไปขายในปั๊มน้ำมันหรือไม่ อาทิ ตั้งกระทู้ถามในสภา หรือเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมาธิการ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เรื่องเหล่านี้แม้จะเป็น สส. ฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่ได้
“เมื่อก่อนเราจะเห็นข้อมูลอย่างหนึ่ง คือพอ สส. หรือพรรคการเมืองเป็นฝ่ายรัฐบาลก็จะขยันเข้าสภา เข้าสภาเยอะมาก แต่พอพรรคคุณกลายไปเป็นฝ่ายค้านคุณไม่เข้าเลย แล้วคุณก็บอกว่าโหวตไปก็แพ้ฝ่ายรัฐบาล อย่างนี้ไม่ใช่พอเป็นรัฐบาลแล้วทำงานพอไม่เป็นรัฐบาลก็ไม่ทำงาน นั่นอาจจะเป็นเพราะประชาชนไม่ถาม พอเป็นฝ่ายค้านก็ปล่อยไป ซึ่งอย่างนี้ไม่ได้ มันมีนโยบายในพื้นที่อีกต่างหาก อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมนี้ขึ้น ว่าวันนี้เข้าไปแก้ไขปัญหาอะไรให้เราบ้างหรือยัง” อาจารย์อรรถสิทธิ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า “นโยบายบางประเภทแม้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ได้รับการเสนอเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติเพราะผู้เกี่ยวข้องมองว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวทางความรู้สึก” เช่น การแก้กฎหมายเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อของเพศที่ 3 หรือการยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณี การแก้ไขกฎหมายยาเสพติดที่ไม่เอาผิดทางอาญากับผู้เสพ ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เพียงผู้มีส่วนได้-เสียกับเรื่องนั้นๆ แต่ยังเป็นเรื่องทัศนคติด้วย
“กระบวนการทางสังคมไม่ว่าจะคิดเรื่องผลกระทบ มีการศึกษามาแล้ว แต่มันก็แพ้ตลอดในเรื่องทัศนคติอย่างเดียวในการทำนโยบาย อย่างเรื่อง Sex Work is Work (งานบริการทางเพศคืองาน) ไม่ถูกมองว่าเป็นอาชญากร เอ็มพาวเวอร์ (มูลนิธิ Empower Foundation) พูดมา 20 ปีแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้จะเทียบเคียงได้ไหม? คือกัญชา มันเหมือนเป็นพืชแห่งความหวัง ฉะนั้นกำลังคิดว่าถ้ากำลังพูดถึงเรื่อง Sex Work แล้วมันมีส่วน เช่น งานที่เป็นความหวังมันน่าจะช่วยได้ไหม? แต่มันต้องมีคนพูดที่เป็นคนที่มีพลังในการพูด
เรื่องทัศนคติมันสำคัญมากกับการขับเคลื่อนนโยบาย มันจะทำอย่างไรให้ลดเรื่องนี้ ถ้าผู้กำหนดนโยบายยังมีทัศนคติด้านลบกับประเด็นนั้นๆ อยู่ การเคลื่อนไหวเรื่องนั้นมันก็ลำบาก คือมันเป็น Factor(ปัจจัย) หนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการมีรายงานต่อให้มีรายงานวิจัย หรือมีทั้งนโยบายสากล เอา WHO (องค์การอนามัยโลก)มาดูแล้วมันก็ยังไม่เปลี่ยน ฉะนั้นกับดักหรือข้อติดขัดมันก็น่าจะอยู่ที่ทัศนคติของผู้กำหนดนโยบาย”อาจารย์เคท กล่าวในท้ายที่สุด
(สติธร ธนานิธิโชติ)
สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวในงานเสวนา “Policy Watch เสวนาจับตาการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล” ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) อธิบายตัวอย่างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนทางนิติบัญญัติในต่างประเทศ โดยแบ่งได้ 3 แนวทางคือ
1.แบบสหรัฐอเมริกา เน้นใช้ช่องทางออนไลน์ เรียกว่า Public Notice & Comment (ประกาศต่อสาธารณะและรับความคิดเห็น) ใครอยากเสนอกฎหมายอะไรยังไม่ต้องยกร่างเป็นมาตรา ให้เสนอกรอบแนวคิดมาก่อน หัวข้อที่เสนอนี้จะถูกนำขึ้นสู่เว็บไซต์ เผยแพร่ต่อสาธารณะเป็นเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปแล้วแต่เรื่อง โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็น จากนั้นจึงนำความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ที่รวบรวมมาจัดทำเป็นร่างกฎหมาย แล้วนำร่างกฎหมายนี้ไปรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนนิติบัญญัติต่อไป
2.แบบอังกฤษ ใช้ช่องทางที่หลากหลายตามแนวคิด Public Consultation (การปรึกษาสาธารณะ) ใครอยากเสนอกฎหมายอะไรให้ไปทำการรณรงค์จนได้ข้อสรุปและมีผู้คนสนับสนุนจำนวนมากในระดับหนึ่งก่อน แล้วนำแนวคิดตรงนี้มาทำร่างกฎหมายเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ โดยกฎหมายแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดในกระบวนการ Public Consultation ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
3.แบบองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และสหภาพยุโรป (EU) ใช้กระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบของกฎหมาย (Regulatory Impact Asessment-RIA) เป็นตัวตั้ง โดยถือว่าการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้-เสียเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เช่น มีการยกร่างกฎหมายขึ้นมาก่อนด้วยการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในประเด็นนั้นๆจากนั้นค่อยเข้าสู่ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นแล้วรวบรวมความคิดเห็นมาวิเคราะห์ผลกระทบอีกครั้งหนึ่ง กล่าวสรุปคือมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ และอาศัยเสียงจากสาธารณะเป็นข้อมูลประกอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี