แฉแก๊งปล้นขนทองเข้ามาเลย์ ล็อคเป้ากลุ่ม‘เจะอารง เฮง’ลงมือ
ความคืบหน้าคดีคนร้ายบุกปล้นร้านทอง “ห้างทองสุธาดา” กลางตลาดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา กวาดทองรูปพรรณมูลค่ากว่า 85 ล้านบาท พร้อมเครื่องเพชรและทองแท่งอีกจำนวนหนึ่งหลบหนีไป ซึ่งคดีนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งหาเบาะแสกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุซึ่งมีประมาณ 17-20 คน และเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : รู้ตัวแก๊งปล้นร้านทองนาทวี มีหมายจับคดีมั่นคง ลงมือคล้ายเหตุการณ์เมื่อ 2-3 ปีก่อน)
ล่าสุดในวันนี้(26 สิงหาคม 2562) พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการคลี่คลายคดี โดยไปตรวจจุดเกิดเหตุบริเวณหน้าร้านทองเพื่อรับทราบเหตุการณ์ และร่วมประชุมสรุปความคืบหน้าคดีที่ สภ.นาทวี ร่วมกับ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9(ผบช.ภ.9) , พล.ต.ต.ดำรัส วิริยะกุล รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.ปรีดา เปี่ยมวารี ผบก.ภ.จว.สงขลา , พ.ต.อ.เอกรัฐ สวนเสน ผกก.สภ.นาทวี
พล.ต.ท.วิสนุ เปิดเผยหลังการประชุมเพียงสั้นๆว่า คดีนี้มีความคืบหน้าไปมาก ทั้งการตรวจกล้องวงจรปิด และรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับคนร้าย ซึ่งผลการสืบสวนเป็นที่น่าพอใจ
ด้าน พล.ต.ท.รณศิลป์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวน ว่า เจ้าหน้าที่จะเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชื่อมโยงกับเหตุที่ร้านทองร้านนี้เคยถูกปล้นเมื่อปี 2548 แต่ยังบอกไม่ได้ว่าคนร้ายได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือไม่ ส่วนที่ให้น้ำหนักไปที่กลุ่มก่อความไม่สงบเพราะเหตุปล้นในครั้งนี้ เพราะแผนประทุษกรรมก็เหมือนกัน ซึ่งครั้งนั้นเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะนี้พอทราบกลุ่มแล้วว่ากลุ่มไหนรอเพียงหลักฐานที่ลงลึกในรายละเอียดให้มากกว่านี้ ก็จะชี้ชัดได้ว่าเป็นใคร และคนวางแผนเป็นใคร ส่วนเป้าหมายของการปล้นมาจากกลุ่มก่อความไม่สงบต้องการเงิน ซึ่งก็เคยก่อเหตุวางระเบิดตู้เอทีเอ็มหลายครั้งนั้น ไม่ยืนยัน แต่ขัดกับแนวทางของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแนวทางการสอบสวนการสอบพยานแวดล้อมไปแล้ว 11 ปาก และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดขณะคนร้ายลงมือก่อเหตุ พบว่า คนร้ายใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 6 กระบอก อาวุธปืนพกสั้น 5 กระบอก
นอกจากนี้ผลการตรวจสอบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ที่คนร้ายยิงขู่ชาวบ้านขณะชิงรถจักรยานยนต์หลบหนีในพื้นที่บ้านพอบิดใต้ หมู่ 4 ต.ท่าประดู่ อ.นาทวี หลังนำรถตู้ไปจอดทิ้งไว้ พบว่า เคยใช้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ ต.ห้วยปลิง อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อปี 2561 จึงเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเหตุปล้นร้านทองเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง จ.ปัตตานี กับ 4 อำเภอชายแดนสงขลา
ทั้งนี้ ในแนวทางการสืบสวนเป็นไปได้สูง ว่า การปล้นร้านทองครั้งนี้เป็นฝีมือกลุ่มของนายเจะอารง เฮง อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่หมู่ 12 ต.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบในระดับปฏิบัติการ รับผิดชอบเคลื่อนไหวในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดนสงขลา โดยเฉพาะนาทวี และเป็นระดับมือยิง มีหมายจับติดตัวของ สภ.สะบ้าย้อย 1 หมายจับ รวม 8 ข้อหา เช่น ร่วมกันก่อการร้ายฯร่วมกันมีระเบิดไว้ในครอบครองฯร่วมกันทำให้เกิดระเบิดฯ
สำหรับเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักไปที่กลุ่มของเจะอารง เพราะเหตุปล้นร้านทองในครั้งนี้รูปแบบเหมือนกับการปล้นเต้นรถวังโต้คาร์เซ็นเตอร์ใน อ.นาทวี เมื่อปี 2560 ทั้งการปล้นรถมาก่อเหตุ ลักษณะการลงมือที่ทำกันเป็นทีมซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกัน และครั้งนั้นในทางการสืบสวนพบว่า นายเจะอารง มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมวางแผนด้วย
ส่วนเป้าหมายของการปล้นจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยตรงของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเพียงแค่รับงานมานั้น เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน เพราะยังพบข้อพิรุธของคนร้ายหลายอย่างในการปล้นร้านทองครั้งนี้
ส่วนเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการข้ามพรมแดนไปยังประเทศมาเลเซีย พร้อมกับทองที่ขโมยไป เพราะแค่ขโมยรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านขับหลบหนี ซึ่งน่าจะไปไม่ไกลและพื้นที่เกิดเหตุก็อยู่ใกล้กับชายแดนไทยมาเลเซีย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี