ดีเอสไอแจงพบชิ้นส่วนกะโหลก “บิลลี่-พอละจี” แกนนำกะเหรี่ยงเมืองเพชร ส่งพิสูจน์ดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับมารดา ยืนยันตรงกันชัดเจน หลังหายสาบสูญนาน 5 ปี เร่งคลี่คลายคดี สางปมถูกทำให้ตาย
เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะ แถลงความคืบหน้ากรณีที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้คดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย เป็นคดีพิเศษ ต้องสืบสวนสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547 สืบเนื่องจากนายพอละจี ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จับกุมตัวระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัวนายพอละจี โดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่ทาง น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี เชื่อว่านายพอละจี หายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ
ทั้งนี้ ภายหลังการรับกรณีดังกล่าวไว้พิจารณา ทางดีเอสไอ ได้มีการตั้งอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน อาทิ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และองค์กรเอกชน หรือเอ็นจีโอ ร่วมกันสืบสวนสอบสวนคดีนี้
กระทั่งเมื่อวันที่ 26 เมษายน และวันที่ 22–24 พฤษภาคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ใช้ยานยนต์สำรวจใต้น้ำ และนักประดาน้ำ ออกตรวจหาพยานหลักฐานใต้สะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน โดยพบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน ก่อนส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจพิสูจน์ พบว่าชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะข้างซ้ายมีรอยไหม้ รวมทั้งรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากความร้อนอุณหภูมิ 200-300 องศาเซลเซียส เมื่อตรวจสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี ประกอบกับพยานหลักฐานต่างๆ จึงเชื่อว่าเป็นกระดูกของนายพอละจี ที่เสียชีวิตแล้ว โดยไม่ทราบวิธีที่ถูกทำให้เสียชีวิต แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28-30 สิงหาคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับนักประดาน้ำ ตรวจหาพยานหลักฐานใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน ก่อนจะพบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีก 20 ชิ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบยืนยัน
อย่างไรก็ดี ทางดีเอสไอ เห็นว่าพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้เข้าข่ายการฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ โดยหลังจากนี้จะเร่งรัดสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิดโดยเร็ว หากผลการสอบสวนมีความคืบหน้าอย่างไรก็จะแถลงต่อสื่อมวลชนให้ทราบทันที และถ้าประชาชนมีเบาะแสสามารถแจ้งมายังดีเอสไอ หรือผ่านสายด่วนดีเอสไอ 1202 โดยจะมีการเก็บรักษาข้อมูลผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็นความลับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี