กษ.เร่งฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร แนะดูแลพืชหลังประสบอุทกภัย พร้อมแจงหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามพื้นที่เสียหายจริง รายละไม่เกิน30ไร่
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุโซนร้อนโพดุล และดีเปรสชั่นคาจิกิ กรมส่งเสริมการเกษตรได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของพื้นที่การเกษตรหลังน้ำลดทันที พร้อมแนะนำให้เกษตรกรดูแลข้าว ไม้ผล ไม้ยืนต้น ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักสำคัญ โดยเฉพาะบางพื้นที่มีพืชต้องเร่งเก็บเกี่ยวเพื่อหนีน้ำ ดังนี้
ข้าว ในกรณีที่น้ำท่วมขังไม่นาน น้ำสูงไม่ถึงยอดข้าว และต้นข้าวยังไม่ตาย ให้รีบระบายน้ำออกจากแปลงนาให้เหลือ 5 - 10 เซนติเมตร และให้ฟื้นฟูข้าวหลังจากน้ำลด โดยที่ต้นข้าวยังเขียวอยู่เกิน 3 วัน หากต้นข้าวในนามี สีเขียวมากขึ้นไม่ต้องใส่ปุ๋ย ให้ดูแลโรคและแมลงอย่าให้รบกวนเท่านั้น แต่หากต้นข้าวในนาเริ่มมีอาการสีเหลืองที่ใบ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 3 - 5 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อฟื้นฟูสภาพต้นข้าว (ไม่ควรใส่ปุ๋ยยูเรียมากเกินคำแนะนำ เพราะจะทำให้ต้นข้าวเกิดโรคได้) สำหรับแปลงนาที่ข้าวออกรวง ให้ระบายน้ำจนแห้งและห้ามใส่ปุ๋ยเพราะจะทำให้ดินร้อน และต้นข้าวตายง่ายขึ้น ในกรณีที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวระยะสุกเต็มที่เพื่อหนีน้ำ ให้นำข้าวที่เก็บเกี่ยวไปตากเพื่อลดความชื้นโดยเร็ว
สำหรับแปลงข้าวที่ตายเสียหายโดยสิ้นเชิง ให้เกษตรกรติดต่อขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ตามที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไว้
ไม้ผล ไม้ยืนต้น หลังน้ำท่วมใหม่ๆ ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ และห้ามบุคคล รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด เพราะต้นที่ถูกน้ำท่วมขังจะมีโครงสร้างง่ายต่อการถูกทำลาย และเกิดการอัดแน่นได้ง่าย ซึ่งเป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ รวมทั้งจะกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรมและอาจตายได้ ดังนั้น เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น ควรมีการพ่นปุ๋ยทางใบให้แก่พืช เพราะในระยะนี้ระบบรากของพืชยังไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารพืชจากดินได้ตามปกติ ปุ๋ยทางใบอาจใช้ปุ๋ยน้ำสูตร 12-12-12 หรือ 12-9-6 หรือจะใช้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21-21-21 และ 16-21-27 ละลายน้ำพ่นให้แก่พืชก็ได้ นอกจากนี้ สามารถเตรียมปุ๋ยทางใบที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเด็กซ์โตรส 600 กรัม ฮิวมิคแอซิด 20 ซีซี ปุ๋ยเกล็ดสูตร 15-30-15 จำนวน 20 กรัม ผสมสารดังกล่าวในน้ำ 20 ลิตร เติมสารจับใบลงไปเล็กน้อย และอาจใส่สารป้องกันกำจัดโรคและแมลงตามความจำเป็น และพ่นสัก 2 - 3 ครั้ง
สำหรับในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เมื่อน้ำลดแล้ว และต้องการจะปลูกพืชใหม่ อาจทำได้ 2 วิธี คือ 1.ปลูกแบบไถพรวนน้อยครั้ง โดยใช้เครื่องมือที่มีน้ำหนักเบา และกระทำหลังจากที่ดินเริ่มแห้งเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วยในตัว ลดการรบกวนดิน และ 2.ปลูกแบบไม่ไถพรวน วิธีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังเปียกชื้นอยู่
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สำหรับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ หากมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกซึ่งเสียหายโดยสิ้นเชิง จะมีการให้ความช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริง รายละไม่เกิน 30 ไร่ ได้แก่ ข้าว อัตราไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ อัตราไร่ละ 1,148 บาท พืชสวนและอื่นๆ อัตรา ไร่ละ 1,690 บาท
ทั้งนี้ เมื่อเกิดภัยพิบัติและผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเขตพื้นที่การให้ความช่วยเหลือฯ เกษตรกรต้องยื่นแบบความจำนงขอรับการช่วยเหลือ (กษ 01) โดยให้ผู้นำท้องถิ่นรับรอง ก่อนจะมีการตรวจสอบทะเบียนเกษตรกร และพื้นที่เสียหายจริง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนต่อไป หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอและสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี