อุบลฯวิกฤติซํา
มวลนํ้า5.5พันลบ.ม.ทะลัก
กองทัพส่งกำลังรับมือ
เขื่อนลำปาวพ้นภัยแล้ง
นายกฯกำชับกองทัพเสริมกำลังกู้วิกฤติน้ำท่วม 8 จว.อีสาน โดยเฉพาะอุบลฯที่สถานการณ์น่าห่วง เพราะมวลน้ำก้อนใหญ่ปริมาตร 5.5 พันลบ.ม./วินาที จากลุ่มน้ำมูล-ชีตอนบนไหลมาถึง
13 ก.ย.ทำน้ำล้นตลิ่งสูงสุดกว่า 4 เมตร ขณะที่เขื่อนลำปาวกาฬสินธุ์รับอานิสงส์น้ำเข้าเขื่อนต่อเนื่องพ้นแล้ง พิจิตร 12อำเภอยังจม บางมูลนากหนักน้ำสูง 2 เมตร เริ่มเน่า ด้านกนช.ไฟเขียวตั้งวอร์รูมน้ำ-จัดหาพื้นที่ทำแก้มลิง พร้อมเห็นชอบ 3 โครงการใหญ่งบเฉียด 2 หมื่นบ้านแก้ท่วม-แล้ง
สถานการณ์อุทกภัยหลายจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะจ.อุบลราชธานี และจังหวัดที่แม่น้ำมุล แม่น้ำชีไหลผ่าน เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำทั้งสองสายหลัก เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนถึงระดับสูงสุดในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้าง
บิ๊กตู่ห่วงอุบลฯรับมวลน้ำเต็มๆ
เมื่อวันที่ 12 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ @prayutofficial เตือนประชาชนในจ.อุบลราชธานีพร้อมรับมวลน้ำจำนวนมากที่จะไหลผ่าน อ.เมืองอุบลราชธานีในวันที่ 13 กันยายน โดยระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ หากต้องการความช่วยเหลือติดต่อได้ที่สายด่วน 1784 ขอให้ทุกคนปลอดภัย
สั่งกองทัพเสริมกำลังกู้8จว.อีสาน-อุบลฯ
ด้านพล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมสั่งการทุกเหล่าทัพ กระจายกำลังและเครื่องมือช่าง สนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนที่ยังประสบอุทกภัยในพื้นที่วิกฤติทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ต่อเนื่องและทั่วถึง โดยเฉพาะ 8 จังหวัดอีสาน ที่ยังมีน้ำท่วมสูง พร้อมให้ประสานส่วนราชการในพื้นที่ ติดตามเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำมูลและพื้นที่ที่ยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่อง โดยให้เสริมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนในจ.อุบลราชธานี และพื้นที่วิกฤตที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เฝ้าระวังระดับน้ำสูงสุด และให้อยู่กับประชาชนในพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งขณะนี้กำลังพลทั้งทางบกทางน้ำทางอากาศที่มีหน่วยทหารในพื้นที่จัดกำลังสลับเข้าทำหน้าที่วันละ 4,000 นาย พร้อมอุปกรณ์ ชุดแพทย์เคลื่อนที่ทำงานร่วมกับจิตอาสาเร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งจัดเรือผลักดันน้ำ 25 ลำ เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
นายกฯตรวจราชการนคร-สุราษฎร์ฯ
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯมีกำหนดการเดินทางตรวจราชการและพบปะประชาชนที่จ.นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี วันศุกร์ที่ 13 กันยายน โดยช่วงเช้า นายกฯจะเดินทางไปจ.นครศรีธรรมราช ตรวจติดตามพื้นที่ก่อสร้าง ปตร.กม. 9+200 คลองท่าเรือ – หัวตรุด ในโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หนึ่งในโครงการที่รัฐบาลใช้แก้ปัญหาบรรเทาอุทกภัยเขตเมืองนครศรีธรรมราชและพื้นที่ใกล้เคียง จากนั้น จะเดินทางต่อไปโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 พบปะประชาชนและนักเรียน พร้อมมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้ผู้สูงอายุ และเดินทางไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ ศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองของชาวจ.นครศรีธรรมราช
นางนฤมลกล่าวต่อว่า ช่วงบ่าย นายกฯ เดินทางไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เยี่ยมชมการดำเนินงานของวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ จัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเที่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งนักศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และเข้ากราบนมัสการพระภาวนาโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังสถานีสูบน้ำปลายคลองเฉวง (CP1) เพื่อดูการทำงานของระบบน้ำของสถานีสูบน้ำปลายคลอง (CP1) ต่อด้วยการเป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลท่องเที่ยวเกาะสมุย ครั้งที่ 4 : Samui Festival 2019” ณ บริเวณลานพลุเฉวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย
กนช.ตั้งวอร์รูมแก้ท่วมแล้ง
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการประชุมคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ (กนช.)ครั้งที่ 2/62 หลังประชุม นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงผลประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และกองอำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ( วอร์รูม ) ที่มีสทนช. รับผิดชอบ และเห็นชอบ 3 โครงการขนาดใหญ่วงเงิน 18,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการก่อสร้างเพื่อการพัฒนา ปี 61ของการประปาส่วนภูมิภาค 6 โครงการ วงเงิน 11,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อก่อสร้างเสร็จสิ้นจะผลิตน้ำประปาได้เพิ่มขึ้น 332,400 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน 2.โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี จากคลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 64-68) วงเงิน 6,130 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำพื้นที่ฝั่งธนบุรี และ3.โครงการแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 64-68 ) ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป
เร่งหาแก้มลิงเก็บน้ำแก้แล้ง
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังพิจารณาแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปี 63 ประกอบด้วย 28 หน่วยงาน จำนวน 57,975 โครงการ วงเงินกว่า 3.1 แสนล้านบาท ที่กระจายลงทุกภาคทั่วประเทศ และรับทราบความคืบหน้าโครงการสำคัญปี 62 ที่รัฐบาลใช้งบกลางกว่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำและเพิ่มต้นทุนน้ำ 144 โครงการ โครงการก่อสร้างฝายชะลอน้ำ 30,000 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งงบประมาณที่กระจายให้ทุกจังหวัดแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น้อมนำพระราโชบายของรัชกาลที่ 10 ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด ทั้งบริหารจัดการลุ่มน้ำหลัก ควบคู่กับเร่งจัดทำแหล่งเก็บน้ำอุปโภคบริโภคผิวดินในแต่ละชุมชน โดยเร่งจัดทำแก้มลิง ฝายชะลอน้ำในลำน้ำต่างๆ และผันน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ให้มากที่สุดในทุกโอกาส โดยต้องหยุดปัญหาพื้นที่แล้งซ้ำซากให้ได้โดยด่วน
น้ำมูลอุบลฯสูงกว่าตลิ่งเกือบ4ม.
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.อุบลราชธานียังวิกฤติ เนื่องจากมวลน้ำก้อนใหญ่จะเดินทางมาถึงในวันที่ 13 กันยายน โดยกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดจราจรน้ำ ทั้งห่วงน้ำและตัดยอดน้ำลงอ่างเก็บน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำจำนวนมากที่จะไหลมาถึงจ.อุบลราชธานีพร้อมกันวันที่ 13 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระดับแม่น้ำมูลช่วงไหลผ่านตัวเมืองอุบลราชธานีวันนี้ อยู่ที่ 10.88 เมตร สูงกว่าตลิ่ง 3.88 เมตร เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 12 กันยายน 15 เซนติเมตร ซึ่งการเดินทางในพื้นที่นั้น มีรถจีเอ็มซีของทหารวิ่งบริการชาวบ้านระหว่างตัวเมืองอุบลฯและเทศบาลเมืองวารินชำราบ พร้อมรถป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วันละ 8 คัน ระหว่าง 06.00-22.00 น. ส่วนสถานการณ์น้ำท่วม พบว่าน้ำยังเพิ่มระดับ ไหลผ่านเส้นทางหลักอุบลราชธานี-วารินชำราบ เป็นระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร รวมทั้งถนนทางหลวงชนบท และตรอกซอกซอยเชื่อมชุมชนต่างๆ มีบ้านเรือนประชาชน ธุรกิจร้านค้าได้รับผลกระทบจำนวนมาก ชุมชนเขตเทศบาลเมืองวารินชำราบ 28 ชุมชน ได้รับผลกระทบ 14 ชุมชน
เจ้าหน้าที่ชลประทานจังหวัดอุบลราชธานีเผยว่า มีการบริหารจัดการโดยการหน่วงน้ำบริเวณด้านเหนือ ไม่ใช่การไหลตามธรรมชาติ จึงคาดการณ์มวลน้ำปริมาตรสูงสุด 4,500-4,600 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ไม่ชัดเจนว่าจะมาถึงช่วงเวลาใด แต่ภาพรวมบอกได้ว่ามวลน้ำเหนือที่จะสร้างผลกระทบจะไหลผ่านตัวเมืองอุบลฯ ทั้งหมดไม่เกินวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะทรงตัวอยู่ 2-3 วันและจะทยอยลดระดับ โดยระดับแม่น้ำมูลขึ้นสูงสุดจะอยู่ราว 11 เมตร สูงกว่าตลิ่ง 4 เมตร ใกล้เคียงกรมชลประทานคาดการณ์ ยืนยันเจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ได้ ประชาชนจะไม่เดือดร้อนไปมากกว่านี้
เขื่อนลำปาวรับอานิสงส์น้ำเข้าอ่าง
ขณะที่ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับอานิสงส์จากฝนตกหนัก ทำให้น้ำในแหล่งเก็บน้ำต่างๆในพื้นที่ โดยเฉพาะเขื่อนลำปาว อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าฯต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้มีพายุและจนถึงปัจจุบันยังฝนตกในพื้นที่ ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังคงปิดประตูระบายน้ำ เพื่อช่วยลดผลกระทบพื้นที่น้ำท่วมตอนล่าง นายพงศ์ศักดิ์ ณ ศร ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว หรือเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์กล่าวว่า เขื่อนลำปาวมีปริมาณไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างมากกว่า 1,000 ล้าน ลบ.ม.ทำให้ปัจจุบันเขื่อนลำปาวมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,470 ล้าน ลบ.ม.จากความจุกักเก็บ 1,980 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 74% ซึ่งตั้งแต่มีพายุเข้าจนถึงปัจจุบันทางเขื่อนได้ปิดประตูทั้ง 4 บานและยังไม่ได้ระบายน้ำ เนื่องจากพื้นที่ตอนท้ายมีน้ำมาก และต้องการเก็บกักน้ำให้มากที่สุด เพื่อให้มีน้ำใช้ทุกกิจกรรม ทั้งอุปโภค บริโภค ทำการเกษตรและประมง
หน่วงน้ำท่วมอีสานล่างใช้หน้าแล้ง
นายพงศ์ศักดิ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้เป็นนโยบายของกรมชลฯในการบริหารจัดการลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูล เพื่อจัดจราจรน้ำเพื่อแก้น้ำท่วมพื้นที่ตอนล่าง ดังนั้น ลุ่มน้ำชีตอนบน รวมทั้งอ่างเก็บน้ำต้องชะลอหรือหน่วงน้ำเอาไว้ ไม่ให้ไหลไปสมทบกับพื้นที่ท้ายน้ำ โดยเฉพาะจ.ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี ซึ่งเขื่อนลำปาวเองก็ทำหน้าที่กักเก็บและหน่วงน้ำป้องกันปัญหาน้ำท่วมในช่วงนี้ได้ดี ถือว่าโชคดีสองต่อ เพราะเขื่อนได้กักเก็บน้ำได้ทั้งหมดกว่า 800 ล้าน ลบ.ม.ไว้ใช้หน้าแล้ง และแก้น้ำท่วมได้ ซึ่งเขื่อนลำปาวยังรับน้ำได้อีกมากกว่า 500 ล้านลบ.ม.
นาข้าว5อำเภอ6หมื่นไร่คลี่คลาย
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรใน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง อ.ยางตลาด อ.กมลาไสย อ.ฆ้องชัย และอ.ร่องคำ เริ่มคลี่คลาย ระดับน้ำลดลงต่อเนื่อง เพราะไม่มีฝนตกซ้ำ แต่จังหวัดยังใช้เครื่องผลักดันน้ำจากแม่น้ำปาวลงแม่น้ำชี ให้น้ำระบายได้เร็วขึ้น ทำให้พื้นที่นาข้าวที่ก่อนหน้านี้ถูกน้ำท่วมกว่า 60,000 ไร่ ลดลงเหลืออยู่ประมาณ 30,000 ไร่ คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเร็วๆนี้ ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนส่วนใหญ่นั้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
สำหรับพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ได้ผลกระทบจากฝนที่ตกติดต่อกัน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 18 อำเภอ 93 ตำบล 576 หมู่บ้าน 24 ชุมชน 10,230 ครัวเรือน 31,145 คน บ้านเรือนถูกน้ำท่วม 1,604 หลังคาเรือน ด้านการเกษตรนาข้าว 126,504 ไร่ พืชไร่ 1,713 ไร่ พืชสวน 99 ไร่ ด้านประมง บ่อปลา 950 ไร่ บ่อกุ้ง 1,072 ไร่ ด้านปศุสัตว์โค 1,059 ตัว กระบือ 447 ตัว และไก่ 1,080 ตัว
บางมูลนากอ่วมซ้ำน้ำสูง2ม.เริ่มเน่า
ที่จ.พิจิตร ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุดุลโพ ทำให้เกิดน้ำป่าหลากเข้าท่วมอ.สาเกเหล็ก วังทรายพูน อ.ดงเจริญ อ.ทับคล้อ ตะพานหิน อ.เมืองพิจิตร และอ.บางมูลนาก ขณะนี้น้ำดังกล่าวไหลลงต.หอไกร บางมูลนากซึ่ง เป็นแอ่งกระทะ โดยฉะเพราะหมู่ที่ 1 ต.หอไกรมากกว่า 60 หลังคาเรือนจมน้ำ น้ำท่วมสูง 2 เมตร ชาวบ้านเดือดร้อนหนักต้องใช้เรือในการสัญจร สาเหตุที่ระบายน้ำลงแม่น้ำน่านยังไม่ได้ระยะนี้ เพราะแม่น้ำน่านก็มีปริมาณน้ำสูง
ผู้สื่อข่าวสอบถามนาง สุนิษา สระประทุมมาศ อุยุ 47 ปี ชาวบ้านหัวรอถนนตกเผยว่า น้ำป่าหลากมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ผ่านมายังดงเจริญ ทับคล้อ ตะพานหิน ผ่านลงมาหอไกร บางไผ่ ซึ่งถูกน้ำท่วม มา 2 อาทิตย์ แล้ว น้ำท่วม สูง 1-2 เมตร เป็นช่วงๆ ต้องใช้เรือเป็นพาหนะ เข้าออกลำบากมาก เก็บข้าวของไม่ทัน เนื่องจากน้ำมาเร็วกว่าทุกปี ขณะนี้มีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกคือ น้ำเน่าเหม็น ส่งกลิ่นนอนแทบไม่ได้
ด้านนางรติรฬ พ่วงพร้อม หัวหน้าสำนักงาน ปภ.กล่าวว่า จ.พิจิตรประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2562 ถึงปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มคลี่คลายหลายพื้นที่ และจะมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนประชาชนอยู่บ้างในพื้นที่ลุ่มต่ำ และพื้นที่การเกษตร ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 12 อำเภอ 45 ตำบล 269 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 11,043 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบกว่า 120,000 ไร่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี