‘เกาะช้าง-เกาะกูด’อ่วม
ฝนถล่มตราด
น้ำป่าทะลักท่วมกว่า1ม.
สัญญาณดีเมืองอุบลฯเริ่มลด
ระบายลงน้ำโขงสิ้นกย.ปกติ
ปภ.สรุป 4 จว.ยังจม อพยพ 2.4 หมื่นคน อุบลฯเริ่มฟื้น กรมชลฯเพิ่มเครื่องดันน้ำลงโขง ทำน้ำมูลลดชม.ละ 1 ซม. คาดอีก 5 วันชาวบ้านกลับบ้านได้ สิ้นเดือนกันยายนเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ยโสธร4 อำเภอริมชี ยังเป็นเกาะกลางน้ำ อ.เมืองพิจิตรระทมเจอฝนซ้ำจมนานกว่า3สัปดาห์แล้ว ด้านจ.ตราดฝนถล่มต่อเนื่อง เกาะช้าง-เกาะกูดเจอน้ำป่าหลากท่วมสูงกว่า 1 เมตร จังหวัดเฝ้าระวังใกล้ชิดเหตุฝนยังตกไม่หยุด
เมื่อวันที่ 15กันยายน นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวสรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุโซนร้อนโพดุล และคาจิกิ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรงว่า ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินสไลด์ และวาตภัย รวม 32 จังหวัด ได้แก่ แพร่ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตรแม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย นครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มหาสารคาม ขอนแก่น หนองบัวลำภู ยโสธร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ชัยภูมิ สุรินทร์ อุดรธานี เลย ศรีสะเกษ สกลนคร ปราจีนบุรี ตราด สระแก้ว กระบี่ ระนองและชุมพร รวม 181 อำเภอ 967 ตำบล 7,090 หมู่บ้าน 5 เขตเทศบาล 11 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 418,449 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 32 ราย ที่จ.ยโสธร 8 ราย ร้อยเอ็ด 6 ราย อำนาจเจริญ 4 ราย ขอนแก่น 3 ราย อุบลราชธานี 3 ราย พิจิตร 2 ราย ศรีสะเกษ 2 ราย พิษณุโลก 1 ราย มุกดาหาร 1 ราย สกลนคร 1 ราย น่าน1 ราย มีผู้บาดเจ็บ 1 คน ที่จ.ชัยภูมิ
4จว.ยังท่วมปภ.เริ่มช่วยฟื้นฟู
ทั้งนี้ ยังคงมีสถานการณ์ใน 4 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ อพยพประชาชน 24,235 คน ในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ จ.ยโสธร อุบลราชธานีและร้อยเอ็ด รวม 96 จุด ประกอบด้วย ยโสธร 11 จุด 907 คน อุบลราชธานี 63 จุด 23,198คน ร้อยเอ็ด 22 จุด 130 คน อย่างไรก็ตาม ปภ.ร่วมกับจังหวัด หน่วยทหารและเจ้าหน้าที่ปกครองเร่งช่วยเหลือชาวบ้าน พร้อมฟื้นฟูหลังน้ำลด ก่อนสำรวจความเสียหายก่อนจ่ายชดเชยตามระเบียบกระทรวงการตลัง
ท้ายเขื่อนฯโล่งลดปล่อยน้ำ750ลบ.ม.
ด้านนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาทว่า ล่าสุดสั่งลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ลงเหลือในอัตรา 750 ลูกลาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) จาก 800 ลบ.ม.ต่อวินาที หลังจากนี้จะลดระบายน้ำลงตามลำดับ เพื่อกักน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง และสำรองไว้ถ้า 1 เดือนข้างหน้าไม่มีฝนตกมาก ปัจจุบันแม่น้ำปิง ระดับน้ำลดเหลือ114 ลบ.ม.ต่อวินาที แม่น้ำน่าน 919ลบ.ม.ต่อวินาที ไหลมารวมที่แม่น้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ 1,198ลบ.ม.ต่อวินาที ปล่อยระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 750 ลบ.ม.ต่อวินาที ผันเข้าระบบชลประทานฝั่งซ้าย -ขวา 464 ลบ.ม.ต่อวินาที ทั้งนี้ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำท่วมประจำทุกปี ยังมีน้ำท่วมตลิ่งเล็กน้อย 7 ซม. รวมทั้งต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
อุบลฯเริ่มฟื้น-น้ำมูลลด1ซม./ชม.
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมที่จ.อุบลราชธานีนั้น นายทวีศักดิ์เผยว่า ระดับน้ำลดลงต่อเนื่อง เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยหนักหลายอำเภอที่อยู่ปลายน้ำแม่น้ำมูล เช่น อ.วารินชำราบ อ.พิบูลมังสาหาร อ.สว่างวีระวงศ์ อ.โขงเจียม ก่อนน้ำมูลจะลงสู่แม่น้ำโขง เป็นจุดรับมวลน้ำท่วมจากจ.ร้อยเอ็ด ยโสธร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี พร้อมสั่งตั้งเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มที่อ.โขงเจียม อีก100เครื่อง จากเดิม 100เครื่อง และที่แก่งสะพือ อ.พิบูลมังสาหาร 60เครื่อง รวม260 เครื่อง ทำให้ปริมาณน้ำลดลงเฉลี่ยชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร(ซม.)
อีก5วันกลับเข้าบ้านได้-สิ้นกย.ปกติ
ช่วงเช้าวันนี้ที่อ.เมืองอุบลราชธานี สถานีวัดน้ำM7ระดับน้ำอยู่ที่10.86 เมตร จากเดิมระดับสูงสุด 10.97 เมตร ลดเกือบ11 ซม.ซึ่งการเพิ่มเครื่องผลักดันน้ำส่งผลการระบายน้ำได้มากขึ้น30%เป็นวันละ500ล้านลบ.ม.คาดว่าภายใน 4-5 วันประชาชนสามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ และสิ้นเดือนกันยายนนี้ ปริมาณน้ำจะเข้าสู่ระดับตลิ่ง รวมทั้งน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่การเกษตร ดำเนินการสูบออกพร้อมกับหารือกับท้องถิ่น และเกษตรกร พื้นที่ใดกักเก็บน้ำไว้ใช้ช่วงฤดูแล้งเช่นลำห้วย แก้มลิง
รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวอีกว่า สาเหตุที่น้ำท่วมภาคอีสานลดระดับลงได้เร็ว เป็นไปตามแผนจัดการระบายน้ำลุ่มน้ำชีลดระบายเขื่อนวังยาง และลำน้ำมูล ลดระบายเขื่อนราษีไศล ที่สำคัญคือ ลดอัตราการระบายเขื่อนใหญ่ เช่น เขื่อนลำปาว เขื่อนอุบลรัตน์ และหยุดระบายเขื่อนขนาดกลางใน สาขาลำน้ำชี เพราะฝนลดลง ต้องเก็บน้ำไว้ ที่สำคัญที่สุดการเร่งอัตราการระบายน้ำ ปลายน้ำ อ.โขงเจียม กับอ.พิบูลมังสาหาร ตรงนี้ทำให้อัตราการลดระดับน้ำทำได้ดีมาก ถ้าไม่มีฝนตกเพิ่มอีก จะเข้าสู่ภาวะปกติสิ้นเดือนกันยายนนี้ ปริมาณน้ำค้างทุ่งเหลือเพียง 1 พันกว่าล้านลบ.ม. ที่จะไหลลงไปที่ราบลุ่มแอ่งกะทะจ.อุบลราชธานีก่อนไหลออกแม่โขง คือ อ.วารินชำราบ และเคลื่อนตัวไป อ.พิบูลมังสารหาร อ.สว่างวีระวงศ์ อ.โขงเจียม ในระหว่างสองสัปดาห์ พื้นที่เหล่านี้น้ำท่วมจะลดลงไปเรื่อยๆ มวลน้ำอยู่ก้อนท้ายสุด ไม่เกินสิ้นเดือน เพราะลักษณะกายภาพของแม่น้ำมูล ไหลออกสู่แม่โขง ที่จุดเดียวคือ อ.โขงเจียม
ยกเป็นอุบลฯโมเดลใช้รับท่วมใต้
ทั้งนี้ ระดับน้ำท่วมพื้นที่หลายอำเภอ ริมแม่น้ำมูล ปีนี้น้อยกว่าปี 2521 อยู่ที่ 12.76 เมตรจากท้องน้ำ ท่วมตลิ่ง 4 เมตร ส่วนปีนี้ ระดับสูงสุด 10.97 เมตร ท่วมตลิ่งกว่า 3 เมตร แต่สูงมากว่าปี2545 อยู่ประมาณ20ซม.โดยปี 2545 อยู่ที่ 10.77 เมตร ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯสั่งตั้งศูนย์บัญชาการแก้อุทกภัยล่มน้ำชี มูล (ส่วนหน้า)ที่จ.อุบลราชธานี ทำให้สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายเร็วขึ้น ลดความเสียหายลงได้ หลังจากน้ำลดทุกหน่วยงานต้องพร้อมเข้าช่วยเหลือได้ทันที โดยใช้กลไกศูนย์บัญชาการส่วนหน้า ทั้งระหว่างนี้สามารถสั่งตรงทันทีนำเครื่องมือ เครื่องจักร ไปเพิ่มจุดใดและคอยติดตาม ลดขั้นตอนการสั่งการ เพื่อให้ทุกอย่างทำงานได้ไวขึ้น จะเป็นต้นแบบ อุบลราชธานีโมเดล รองรับพื้นที่ต่อไป โดยเฉพาะเดือนหน้าจะเป็นฤดูฝนของภาคใต้ จะตั้งรับที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สงขลา “นายทวีศักดิ์ กล่าว
นายกฯเสียใจเหตุกู้ภัยเสียชีวิต
ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว. กลาโหม แสดงความเสียใจกรณีนายดำรงศักดิ์ เจียดประโคน อาสากู้ภัย ที่ป่วยและเสียชีวิตหลังไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ จ.อุบลราชธานีว่า ถือเป็นการสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และต้องขอบคุณในความเสียสละของทีมอาสากู้ภัยและเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ได้ทำหน้าที่เพื่อผู้อื่นอย่างเต็มที่ นับเป็นการกระทำที่น่ายกย่อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวของนายดำรงศักดิ์อย่างดีที่สุด โดยพิธีฌาปนกิจศพจะมีขึ้นวันอังคารที่ 17 กันยายน เวลา 15.00 น. ที่วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ สำหรับสถานการณ์น้ำที่ จ.อุบลราชธานีนั้น นายกฯได้รับรายงานระดับน้ำที่อ.เมืองอุบลราชธานีทรงตัว และเริ่มลดลง ส่วนน้ำที่ล้นตลิ่งและท่วมขังในอ.พิบูลมังสาหาร และอ.วารินชำราบแนวโน้มทรงตัว แม่น้ำชี มูล ลำปาว ลำเซบาย ลำโดมใหญ่ ทั้งหมดมีแนวโน้มลดลง นายกฯกำชับทุกหน่วยบูรณาการช่วยเหลือประชาชน กระจายกำลังเครื่องมือไปช่วยจุดที่ยังประสบอุทกภัย เร่งระบายน้ำเร็วที่สุด
ยโสธรยังอ่วมริมชีเป็นเกาะกลางน้ำ
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของ จ.ยโสธร ยังน่าห่วง โดยเฉพาะ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง อ.คำเขื่อนแก้ว อ.มหาชนะชัย และอ.ค้อวัง ชาวบ้านที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำชี ท้ายเขื่อนยโสธร หลายหมู่บ้านกลายเป็นเกาะกลางน้ำ ต้องใช้เรือท้องแบนและเรือหาปลาเข้าออกหมู่บ้าน เนื่องจากทั้ง 4 อำเภอ เป็นพื้นที่รองรับน้ำเหนือที่ไหลลงมาสมทบในแม่น้ำชี ส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร บ้านเรือน ถนนเข้าออกหมู่บ้าน สำหรับ จ.ยโสธร ถูกน้ำท่วมทั้ง 9 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 40,000 คน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมกว่า 470,000 ไร่
อำนาจเจริญเตือนท้ายอ่างขนของหนี
ขณะที่จ.อำนาจเจริญ สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ เหลือเพียงอ.หัวตะพาน ซึ่งติดกับลำเซบาย และพนังกั้นน้ำขาด ประกอบกับยังมีมวลน้ำจาก จ.ยโสธร ไหลมาสมทบ ทำให้น้ำเอ่อท่วมบ้านเรือนประชาชน แต่ระดับน้ำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม ชลประทานอำนาจเจริญ เตือนประชาชนที่อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน อ่างเก็บน้ำร่องน้ำซับ อ่างเก็บน้ำห้วยโพธิ์ และอ่างเก็บน้ำห้วยสีโท เฝ้าระวังและเก็บทรัพย์สินขึ้นที่สูง เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นรวดเร็วจนเกินความจุอ่าง จากฝนที่ตกหนักเมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
มท.2กำชับระวังพวกหัวขโมย
นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย (มท.2) ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยมีป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมสรุปสถานการณ์ที่ห้องประชุมศาลากลาง จ.อุบลราชธานี โดยนายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนนำความห่วงใยของรัฐบาลที่เป็นห่วงพี่น้องประชาชนโดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายลงมาดูแล อำนวยความสะดวก และรับฟังปัญหาของพี่น้องเพื่อให้ทุกฝ่ายเร่งรัดแก้ปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะทราบดีว่า สถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องจำนวนมาก ทั้งที่อพยพมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว หรือบางส่วนที่อยู่ในบ้านเรือนที่น้ำยังท่วมอยู่ ตนย้ำเสมอว่าที่ห่วงใยที่สุดคือ ความปลอดภัยของชีวิตประชาชนต้องมาเป็นอันดับแรก ซึ่งยอมรับว่ายอดการสูญเสียชีวิตครั้งนี้ค่อนข้างสูง จึงไม่อยากให้เกิดเหตุสูญเสียซ้ำขึ้นอีก
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า อีกทั้งที่สำคัญคือ ระบบการแจ้งเตือนข่าวสาร ขอให้เจ้าหน้าที่แจ้งข่าวสารให้กับพี่น้องประชาชนได้ทราบ โดยรับฟังข่าวสารสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด สำหรับถุงยังชีพ ตนกำชับเจ้าหน้าที่ทั้งส่วนของจังหวัด และอำเภอว่า ต้องแจกจ่ายให้ทั่วถึง และประเมินสถานการณ์ว่าต้องใช้อีกจำนวนเท่าไร กี่คน กี่ครัวเรือนเพียงพอหรือไม่ พี่น้องประชาชนต้องได้ทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อ รวมถึงเรื่องน้ำดื่มต้องสะอาดและต้องหาแหล่งน้ำสำรองมาใช้ ให้เพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนด้วย
‘ต้องขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรืออาสาสมัครในกรณีพิเศษเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันคือ ขอให้ช่วยดูแลตรวจตราบ้านเรือนและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ผู้ประสบภัยอยู่แล้ว ซึ่งอาจมีมิจฉาชีพแอบอ้างสวมรอยทำทีเป็นเจ้าหน้าที่ไปขโมยทรัพย์สินของประชาชนขอให้ช่วยเป็นหูเป็นตา ดูแลอย่าให้ซ้ำเติมทุกข์ของพี่น้องผู้ประสบภัยเพิ่มขึ้นอีก อีกเรื่องที่ห่วงและสำคัญมากเช่นกันคือ ระบบสุขอนามัยโดยเฉพาะการขับถ่ายหรือสุขาภิบาล ที่ยังไม่เพียงพอก็ต้องประสานกับจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียงหรือ อบจ.จังหวัดอื่นๆในเรื่องรถสุขาเคลื่อนที่ รถอาบน้ำและระบบขนส่งสิ่งปฏิกูลต่างๆ อย่าให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัยตามมา ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันช่วยพี่น้องไทยด้วยกันในยามลำบาก ขอให้รวมใจกันช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยไปด้วยกัน’ รมช.มหาดไทย กล่าว
พิจิตรระทมท่วมขัง3อาทิตย์ฝนซ้ำ
ส่วนจ.พิจิตร เกิดฝนตกหนักสะสม ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมในอ.เมือง จ.พิจิตร ที่ยังคงอยู่อย่างต่อเนื่องมานานเกือบ 3 สัปดาห์ วิกฤติขึ้นไปอีก โดยที่ต.บ้านบุ่ง ต.สายคำโห้ และ ต.หัวดง ระดับน้ำยังไม่ลด เพราะเกิดฝนตกหนักสะสมในพื้นที่ ประกอบกับมวลน้ำป่าจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ไหลลงมาตามลำคลองสาขา เพื่อรอการระบายออกสู่แม่น้ำน่าน และขนาดประตูระบายน้ำที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้ปริมาณน้ำยังไม่สามารถระบายออกไปได้ทั้งหมด ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเกือบ 300 หลังคาเรือน ใน 9 หมู่บ้าน ต้องจมน้ำมานานเกือบ 3 สัปดาห์แล้ว นาข้าวหอมมะลิจมอยู่ใต้น้ำ เสียหายเกือบ 13,000 ไร่ นายอำเภอเมืองพิจิตร ประสานชลประทานจังหวัดพิจิตร เร่งเปิดประตูระบายน้ำในลำคลองสาขาทุกประตู เพื่อเร่งระบายมวลน้ำลงสู่แม่น้ำน่านโดยเร็ว
ฝนหนักน้ำป่าถล่ม’เกาะช้าง’
วันเดียวกัน ยังมีฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลับหลายจังหวัด อย่างที่เกาะช้าง จ.ตราด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำไหลจากภูเขาหลากท่วมพื้นที่ในอ.เกาะช้างเป็นวงกว้าง นายทศพล สินยบุตร นายอำเภอเกาะช้างเปิดเผยว่า ฝนตกหนักในอ.เกาะช้างมา 2 วันโดยเฉพาะช่วงกลางคืน และตลอดทั้งวันนี้ ยังตกอยู่ต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำไหลบ่าจากภูเขาลงมายังที่ราบตั้งแต่บ้านหาดทรายขาว บ้านไชยเชษฐ์ และบ้านไก่แบ้ ใน ต.เกาะช้าง รวมทั้งบ้านบางเบ้า ต.เกาะช้างใต้ ที่ไหลลงมาตามคลองหลายแห่ง แต่เนื่องจากปริมาณน้ำมีมากทำให้น้ำระบายไม่ทันจึงไหลเข้าท่วมสะพาน และบ้านเรือน ที่อยู่ตามริมคลองสูงกว่า 1 เมตร โดยเฉพาะบริเวณสะพานไชยเชษฐ์ สะพานบางเบ้า และสะพานบางเบ้าน้ำไหลแรง ทำให้รถยนต์สัญจรไปมาไม่ได้ มีรถบางคันพยายามจะขับฝ่ากระแสน้ำ แต่ถูกน้ำซัดลงข้างทางอำเภอจึงแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวและประชาชนไม่ควรเดินทางผ่านมายังสะพานทั้ง 3 แห่ง เพราะน้ำไหลแรง
คลื่นแรงขอเรือขนนักท่องเที่ยว
นายทศพลกล่าวว่า ขณะนี้ฝนยังตกหนักอยู่และมีแนวโน้ม สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เพราะน้ำจากภูเขายังคงตกลงมาต่อเนื่อง วันนี้คลื่นลมในทะเล ยังรุนแรง แต่เรือเฟอร์รี่เดินทางไปเกาะช้าง และกลับมาได้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์ยังคงรุนแรงอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากทหารเรือเพื่อให้นำเรือรบมาช่วยนักท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถเดินทางออกมาได้ด้วย
เกาะกูดวิกฤติท่วมสูงกว่า1ม.
เช่นเดียวกับที่ อ.เกาะกูด มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้น้ำจากภูเขาไหลลงมาจากคลองและไม่สามารถระบายได้ทันทำให้ไหลล้นออกจากคลองและเข้าท่วมสะพานหลายแห่ง รวมทั้งบ้านเรือประชาชนบางแห่ง ซึ่งบางช่วงมีความสูงระดับสูงกว่า 1เมตร พ.ต.อ.ประเสริฐ มาเห็ม ผกก.สภ.เกาะกูด จ.ตราด เปิดเผยว่า เนื่องฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อวานส่งผลกระทบทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากช่วงเช้าวันนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นมา และฝนยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ทำให้น้ำในคลองต่าง ๆ เช่น คลองยายกี๋ คลองค้างคาว มีระดับน้ำสูงขึ้นถึงพื้นสะพาน นอกจากนี้ ยังมีคลื่นลมแรงทำให้เรือที่นักท่องเที่ยวนำออกไปตกปลา แล้วเจอพายุฝนจึงเข้าหลบที่เกาะกระดาษ และจอดเรือไว้ทำให้เรือถูกคลื่นซัดจนล่มจมน้ำ ส่วนนักตกปลา 5 คนปลอดภัยดี ตอนนี้รอให้ฝนหยุดแล้วจะนำเรือออกไปรับกลับมาที่เกาะกูด ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี