‘ประภัตร’หนุนเลี้ยง‘โคเนื้อ’เข้าสู่ระบบGAP เพิ่มมูลค่าส่งออก ลดนำเข้า

‘ประภัตร’หนุนเลี้ยง‘โคเนื้อ’เข้าสู่ระบบGAP เพิ่มมูลค่าส่งออก ลดนำเข้า

วันจันทร์ ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562, 08.01 น.

‘ประภัตร’หนุนเลี้ยง‘โคเนื้อ’เข้าสู่ระบบGAP เพิ่มมูลค่าส่งออก ลดนำเข้า

16 กันยายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และพบปะเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ โคขุน พร้อมมอบแนวทางการช่วยเหลือและรับฟังปัญหาของเกษตรกร พร้อมมอบถุงยังชีพ เวชภัณฑ์ และเสบียงอาหารสัตว์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ณ ฟาร์มโคขุน ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย


นายประภัตร กล่าวว่า ฟาร์มเลี้ยงโคขุนแห่งนี้ได้รับการพัฒนายกระดับเป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ทั้งยังเป็นกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนเพื่อเป็นอาชีพเสริม ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงระยะสั้นประมาณ 90-120 วัน โดยขุนให้ได้น้ำหนักประมาณ 500 กก. และขายผ่านพ่อค้าที่จะส่งไปประเทศจีนและเวียดนาม นอกจากนี้มีโรงผสมอาหาร เพื่อลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ในฟาร์มและในกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุน โดยมีเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ร่วมเป็นเครือข่าย  ประมาณ 60 ราย จำนวนโคขุนในกลุ่ม ประมาณ 1,200 ตัว กรมปศุสัตว์ ช่วยเหลือดูแลด้านการป้องกันโรคระบาด ให้ความรู้ผลักดันเข้าสู่ฟาร์มมาตรฐาน การตรวจสอบโคก่อนการเคลื่อนย้าย

ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงและพ่อค้ายังมีความต้องการโคเนื้อ-โคขุน จำนวนมาก หากสามารถสร้างกลุ่มผู้เลี้ยงแม่โคผลิตโครุ่นเพศผู้สายพันธุ์ดี ป้อนให้กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุน เพื่อผลิตโคเนื้อที่มีคุณภาพซากดีเทียบเท่าโคที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะเป็นการช่วยลดปริมาณการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศได้ และเป็นโอกาสในการพัฒนาที่จะทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพ

นอกจากนี้ การสร้างศูนย์ผลิตอาหารหยาบสำหรับเลี้ยงโค เผื่อผลิตอาหารหยาบคุณภาพดี มีปริมาณที่เพียงพอต่อการเลี้ยงโคตลอดปี ก็จะสามารถช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต มีศักยภาพแข่งขันกับโคจากต่างประเทศได้ อีกทั้งต้องเน้นส่งเสริมการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ-โคขุน โดยปรับระบบการเลี้ยงให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลิตโคที่มีสายพันธุ์ดี คุณภาพซากดี เพื่อเพิ่มมูลค่า มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ รวมทั้งสร้างระบบการตลาดมีข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้าเพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงให้ผู้เลี้ยงโคได้เข้มแข็งให้ได้

อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะสนับสนุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP เพื่อให้สามารถนำตราสัญลักษณ์ Q (Q - GAP) ซึ่งแสดงถึงสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากกระทรวงเกษตรฯ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และเพิ่มมูลค่าสามารถส่งออกไปแข่งขันในตลาดสากลได้ นอกจากนี้จะส่งเสริมพัฒนาให้ฟาร์มโคเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GMP รองรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเพิ่มมูลค่าและส่งออกไปยังต่างประเทศได้ในอนาคตอีกด้วย

สำหรับจังหวัดสุโขทัย เป็นแหล่งผลิตโคเนื้อที่ใหญ่เป็นอับดับ 2 รองจากจังหวัดตาก มีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประมาณ 37,000 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย เลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพเสริม มูลค่าการผลิตด้านปศุสัตว์ปี 2559 มีมูลค่า 3,668 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าการผลิตโคเนื้อโคขุน ประมาณ 1,365 ล้านบาท ซึ่งมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อที่ขึ้นทะเบียนกรมปศุสัตว์ จำนวน 6,702 ครัวเรือน จำนวนโคเนื้อรวม 79,263 ตัว เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุน จำนวนโคขุน 3,453 ตัว แยกการเลี้ยงเป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ การเลี้ยงโคผลิตลูก หรือโคต้นน้ำ และการเลี้ยงโคขุน-โคมัน หรือโคกลางน้ำ

โครงการส่งเสริมในจังหวัดสุโขทัย ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโค โครงการฟาร์มโคเนื้อสร้างอาชีพ ระยะที่ 2 โครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ด้านโคเนื้อ ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเลี้ยง เพิ่มปริมาณการผลิตโคเนื้อในจังหวัด รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงโค เพื่อผลิตโคเนื้อที่มีสายพันธุ์และคุณภาพซากดี รวมทั้งลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันด้านราคากับโคเนื้อจากต่างประเทศได้

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top