แม้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปล่อยจะคาร์บอนเพียง 5% ของกิจกรรมในโลกนี้ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภาคการเดินทางโดยเครื่องบิน 40% การเดินทางโดยรถยนต์ 32% การขนส่งอื่นๆ 3% การ บริการที่พัก 21% กิจกรรมท่องเที่ยว 4% แต่เป็นค่าตัวเลขที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ปริมาณขยะ การรบกวนต่อระบบนิเวศของสัตว์ป่า สัตว์น้ำ พันธุ์พืช ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องเป็นระบบเดียวกันที่และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั้งสิ้น และการท่องเที่ยวเองก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนี้ด้วย เช่น เส้นทางการท่องเที่ยวบางแห่งที่ไม่สวยงามเหมือนเดิม การที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่ส่งผลกระทบกับการวางแผนตลาดท่องเที่ยวที่วางไว้ล่วงหน้าแล้ว
นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “อพท. จำเป็นต้องสร้างความตระหนักในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกับกิจกรรมท่องเที่ยว และร่วมกันแนวทางลดผลกระทบจากการปล่อยคาร์บอน ซึ่งได้ดำเนินนโยบาย Low Carbon Tourism ตั้งแต่ปี 2556 ในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ อพท. ได้พยายามพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับนานาชาติ ซึ่งมีเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หรือ Global Sustainable Tourism Criteria (GSTC) เป็นกรอบแนวทางในการทำงาน ทั้งนี้ เกณฑ์หนึ่งในสี่ด้านของ GSTC ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมไว้คือ “การเพิ่มประโยชน์และลดผลกระทบเชิงลบทางสิ่งแวดล้อม” การเพิ่มประโยชน์คือ เราสามารถใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้ด้วยการทำให้เจ้าของแหล่งท่องเที่ยวเห็นคุณค่าของเขาเอง ส่วนการลดผลกระทบคือ การนำเอานวัตกรรมต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีและความรู้ มาช่วยแก้ปัญหาสำหรับกิจกรรมในภาคการท่องเที่ยวที่ก่อให้เกิดคาร์บอน
ในบทบาทของ อพท. ตามเกณฑ์ GSTC นั้น ส่วนสำคัญคือ หน่วยงานภาครัฐจะต้องเข้าไปส่งเสริมภาคธุรกิจให้ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน หรือระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมล้อมที่ได้รับการยอมรับ โดยมีการตรวจสอบประเมินธุรกิจการท่องเที่ยว และมีการเผยแพร่สถานประกอบการที่ได้รับการรับรองดังกล่าว”
นายประครอง สายจันทร์ ผู้จัดการ อพท.4 ซึ่งเป็นสำนักงานพื้นที่พิเศษที่มีภารกิจดำเนินงานในเขตพัฒนามรดกโลกด้านวัฒนธรรม (สุโขทัย กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก) กล่าวว่า “อพท.4 ได้ยกระดับสถานประกอบการที่พักสู่มาตรฐานโรงแรมสีเขียวระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยในช่วงแรก ปี 2558 อพท.4 พัฒนา 4 มาตราการ สำหรับสถานประกอบการที่พักเพื่อเริ่มต้นทำความรู้จักกับมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างแนวคิดให้คุ้นชินก่อน ได้แก่ การจัดการขยะ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ ปัจจุบัน ยกระดับศักยภาพของโรงแรมที่สมัครเข้าร่วมโครงการไปสู่โรงแรมสีเขียว (Green Hotel) มาตรฐานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเกณฑ์จะยากขึ้นมาก มี 6 หมวด รวม 140 ข้อ และปีนี้เป็นปีแรกที่มีโรงแรมได้รับการประเมินจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ผลสรุปคะแนนอย่างเป็นทางการ มีโรงแรมที่ได้รับการสนับสนุนจาก อพท.4 ได้รับรางวัล ได้แก่ โรงแรมสุโขทัยเทรเชอร์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ได้รางวัลระดับดีเยี่ยม (G-ทอง) โรงแรมเลเจนด้า สุโขทัยรีสอร์ท ได้รางวัลระดับดีเยี่ยม (G-ทอง) และโรงแรมรัตนาปาร์ค พิษณุโลก ได้รางวัลระดับดี (G-ทองแดง)
กระบวนการสนับสนุนโรงแรมของ อพท.4 คือ หาผู้มีความรู้มาให้คำแนะนำหรือโค้ชชิ่งให้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่โรงแรม เพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการประหยัดน้ำ ไฟฟ้า เชื้อเพลิง การลดปริมาณขยะ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประสานให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมาประเมินตามเกณฑ์ ซึ่งในอนาคตโรงแรมใดที่ผ่านเกณฑ์ Green Hotel ระดับสูงสุดแล้ว อพท. ก็พร้อมสนับสนุนให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติเพื่อยกระดับยิ่งขึ้นไปอีกด้วย นอกจากนี้ กลุ่มโฮมสเตย์หรือโรงแรมที่ไม่ได้อยู่ในคุณสมบัติที่จะเข้ารับการประเมิน Green Hotel แต่ก็สามารถเป็นสถานประกอบการที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ โดย อพท. จัดอบรมให้ความรู้ในเรื่องเดียวกัน และ อพท. เตรียมพัฒนาเกณฑ์การประเมิน Green Homestay ร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในปีต่อไปด้วย”
หลักการสำหรับโรงแรมที่พักเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น อพท.4 สรุปย่อยออกเป็น 7 ข้อหลัก คือ
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือวัสดุท้องถิ่นการใช้น้ำ เช่น ลดการใช้น้ำสำหรับผู้ใช้บริการและพนักงาน ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ นำน้ำใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย จัดการเศษอาหาร น้ำมัน และไขมันก่อนเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียจัดการขยะ เช่น ลดการเกิดขยะ (reduce) และใช้ซ้ำ (reuse) คัดแยกเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ (recycle) ทั้งสำหรับผู้ใช้บริการและพนักงานลดการใช้พลังงาน เช่น ใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานจัดให้มีพื้นที่สีเขียวในโรงแรมอย่างน้อย 20% และมีการปลูกไม้ท้องถิ่น สนับสนุนท้องถิ่น เช่น จำนวนพนักงานมากกว่า 10% มีภูมิลำเนาในพื้นที่ ใช้และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นไว้ใช้ในโรงแรม หรือวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น มีส่วนร่วมและสนับสนุนกิจกรรมของท้องถิ่นและชุมชนด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและด้านวัฒนธรรม
สำหรับทิศทางการตลาดของโรงแรมที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น มีเทรนด์ที่ดี เพราะจากผลการสำรวจของ booking.com พบว่าคนแต่ละช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ หรือคนที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป กลุ่ม Gen X หรือคนที่มีอายุระหว่าง 40-54 ปี กลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนที่มีอายุระหว่าง 25-39 ปี และกลุ่ม Gen Z หรือคนที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี ต้องการพักในที่พักแนวอนุรักษ์หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากกว่า 50%
ในมุมของนักท่องเที่ยว อพท.4 นำเสนอ 7 สิ่งง่ายๆ ที่นักท่องเที่ยวทำได้ในโรงแรม ช่วยลดภาวะโลกร้อน
- เลือกพักโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดพลังงาน ประหยัดน้ำ และระบบจัดการขยะที่ดี
- ใช้กระดาษชำระ/ทิชชู่แต่พอดี ช่วยรักษาต้นไม้บนโลก
- เปิดใช้น้ำไม่ต้องแรง + ใช้แต่พอดี
- ปรับอุณหภูมิแอร์ขึ้น 1 องศา ช่วยประหยัดไฟได้องศาละ 10%
- ใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำในวันที่เข้าพักในโรงแรม
- ไม่ใช้หมวกคลุมผม สบู่ ยาสระผมที่อยู่ในซองหรือขวดพลากสติกเล็กๆ ในห้องน้ำ
- เลิกสะสมของใช้ในห้องน้ำของโรงแรม ถ้าเอากลับไปแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ ในที่สุดจะกลายเป็นขยะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี