แบนสารเคมีเกษตรใครได้ใครเสีย
สารเคมีทางการเกษตรที่อยู่ในกระแสการเสนอยกเลิกการใช้มี 3 ชนิด ประเด็นของการเสนอแบนยาทั้ง 3 ชนิดคืออะไร “เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค” เรื่องนี้กลุ่มเสนอแบนเขาพูด ประเทศไทยใช้ยาเคมีการเกษตรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนมีวลี “แผ่นดินอาบสารพิษ” รวม 2 ประเด็นหลักที่ผู้เสนอให้ยกเลิกการใช้กล่าวกับสังคม ความจริงคืออะไร
เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค?
สารเคมี 3 ตัวเป็นยาฆ่าหญ้า 2 ชนิด และยาฆ่าแมลง 1 ชนิด พาราควอต และไกลโฟเซต เป็นยาฆ่าหญ้า คลอร์ไพริฟอสเป็นยาฆ่าแมลง มันไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างไร อะไรที่ทำให้ไม่ปลอดภัย สารเคมีทั้ง 3 ชนิด กับสารเคมีอื่นๆ ที่ไม่ถูกเสนอยกเลิกการใช้มันปลอดภัยกว่ากันใช่หรือไม่นี่เป็นคำถามของเกษตรกรที่ถูกกระทำ
NGO บอกว่า พาราควอตต้องยกเลิกการใช้
ไกลโฟเซต ต้องจำกัดการใช้
คลอร์ไพริฟอสต้องยกเลิกการใช้
NGO เอาอะไรมาตัดสินให้สารเคมี 3 ชนิดนี้เป็นจำเลย ในเมื่อสารเคมีเกษตรทุกชนิดมีพิษต่อมนุษย์ สัตว์และพืช
สิ่งที่เกษตรกรคิด?
NGO ต้องการแบนพาราควอตเป็นหลัก ส่วนไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส เป็นแค่องค์ประกอบเพื่อไม่ให้เห็นเจตนาที่แท้จริง ที่ต้องการแบนพาราควอตตัวเดียวเท่านั้น เพื่อเอากลูโฟซิเนตเข้ามาขายแทน ตามที่ NGO เคยพูดเอาไว้ว่าจะนำกลูโฟซิเนตเข้ามาใช้ทดแทน
ถ้าการแบนพาราควอตเป็นผลสำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้น?
ปล้น มันเป็นการปล้นเกษตรกรชัดๆ
กลูโฟซิเนตเป็นยากำจัดวัชพืชแบบไม่เลือกทำลาย มีฤทธิ์แบบเผาไหม้ และดูดซึม ซึ่งเหมือนกับใช้พาราควอตผสมกับไกลโฟเซต นั่นหมายความว่าจะมีผลกับพืชหลัก เพราะมีการดูดซึมซึ่งต่างจากพาราควอตที่ไม่มีการดูดซึมจึงไม่มีผลกระทบต่อพืชหลัก
ปล้นอย่างไร?
พาราควอตขนาดบรรจุ 5 ลิตร ราคา 370 - 400 บาท เมื่อปีพ.ศ. 2558 หลังการเสนอการแบนสารพาราควอต ราคาเริ่มปรับตัวแพงขึ้น จนถึงปัจจุบันพาราควอตขนาดบรรจุ 5 ลิตร ราคา 800 - 850 บาท ตกลิตรละ 170 บาท ถ้าเอากลูโฟซิเนตมาใช้แทนพาราควอต (แบบบังคับเพราะไม่มีพาราควอต) จะเกิดอะไรขึ้นพาราควอต 170 บาทต่อลิตร อัตราการใช้ 300 ถึง 500 CC ต่อไร่ เท่ากับ 85 บาทต่อไร่กลูโฟซิเนต ราคาลิตรละ 480 - 500 บาทอัตราการใช้ 1,000 ถึง 1,200 CC ต่อไร่ เท่ากับ 600 บาทต่อไร่(มีผลกระทบต่อพืชหลัก) ราคาของกลูโฟซิเนตแพงกว่าพาราควอต 7 เท่า นั่นหมายความว่าเกษตรกรต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทที่ผลิตกลูโฟซิเนตทั้งหลาย นี่คือการปล้น
อะไรจะเกิดขึ้น เกษตรกรก็จะยังไม่ใช้กลูโฟซิเนต แต่จะเพิ่มปริมาณการใช้สารเคมีในกลุ่มคุมฆ่าวัชพืชมากขึ้นเพื่อทำการป้องกันวัชพืชงอก และฆ่าหญ้าเล็กในแปลงให้มากที่สุด เพราะรู้ว่าไม่มี พาราควอตใช้นั้นก็หมายความว่าเคมีเกษตรตัวอื่นๆ ก็ได้อานิสงส์ไปด้วย กลุ่มธุรกิจเคมีเกษตรมีแต่ได้กับได้.....ดูแล้วไม่แปลกใจเลยที่กลุ่มเคมีเกษตรไม่ออกมาสู้.......แต่คนที่ออกมาสู้คือเกษตรกร ชนะหรือแพ้.....ก็เตะหมูเข้าปากหมาอยู่ดี
ยาที่จะใช้ในพืชแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน
-พืชไร่ อ้อย ข้าวโพด พืชใบเลี้ยงเดี่ยว จะใช้ อาร์ทราซีน อาร์มีทรีน อาร์ลาคลอร์ 2-4 D. มากขึ้น
พืชไร่ใบเลี้ยงคู่ มันสำปะหลัง ก็จะใช้ยาคุมฆ่าหญ้าเล็กในไร่มันในปาล์มน้ำมัน ยางพารา ไม้ผลจะลำบากมาก เพราะเป็นหญ้าแก่ หญ้าข้ามปี อาจจะใช้ไกลโฟเซตหรือกลูโฟซิเนต ต้องฉีดอย่างระมัดระวังอย่างมาก มองไม่เห็นทางออกครับ............ เกษตรกรตายลูกเดียว
ระหว่างเขียนเรื่องนี้อยู่ ได้ฟังการแถลงข่าวของประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางการควบคุมการ
ใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร บอกว่าคณะกรรมาธิการ 2 ท่าน ซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิด ถูกขู่ฆ่า...... จะบ้ากันใหญ่แล้ว...... ดูหนังมากไปรึเปล่า.....
เครือข่ายเกษตรกรไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี