“บิ๊กป้อม” ลุยเหนือกำชับทุกกระทรวงเตรียมแผนรับมือป้องกันปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ รณรงค์ห้ามเผาต้องไม่ให้มีเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เกิดมลพิษหนักซ้ำรอยปีที่ผ่านมา ย้ำรัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ด้านผู้ว่าฯกทม.ตรวจสอบประสิทธิภาพ “หอสูงฟอกอากาศ” โดยเปิดเดินเครื่องทดลองสู้ฝุ่น PM 2.5ในกทม.
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชมพรรษา จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมนายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เดินทางไปตรวจราชการ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ โดยประชุมมอบนโยบายให้หน่วยงานการที่เกี่ยวข้อง
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นห่วงปัญหาดังกล่าวที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน และรัฐบาลเป็นห่วงผลกระทบปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนจากสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่ผ่านมา จึงได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อน ดังนั้น ขอย้ำให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ในการป้องกันและรับมือกับปัญหาไฟป่าหมอกควันที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยให้เตรียมข้อมูลพื้นฐานจากดาวเทียมและถอดบทเรียนการทำงานทุกปีที่ผ่านมา นำมาพัฒนาวางแผนงานและกำหนดมาตรการป้องกันแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม แบ่งงานมอบความรับผิดชอบและบูรณาการทำงานร่วมกันให้ชัดเจนมากขึ้นระดับพื้นที่ ควบคู่กับให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจและมีส่วนร่วมของประชาชน โดยสนับสนุนให้จัดตั้งเครือข่ายจิตอาสาและยุวชนในพื้นที่มากขึ้น จะได้ร่วมกันเฝ้าระวังป้องกันและแก้ปัญหา
รองนายกฯยังกำชับให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นเจ้าภาพหลัก ประสานความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงและส่วนราชการเฝ้าระวังและแก้ปัญหาไฟป่า ทั้งพื้นที่ภายนอกและในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาไฟป่าที่เกิดจากคน บุกรุกแผ้วถางเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ต้องไม่ให้มีโดยเด็ดขาด
พร้อมเน้นย้ำให้นำเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศมาใช้บริหารจัดการ เพื่อลดจุดความร้อนในพื้นที่ ให้เตรียมความพร้อมระดมสรรพกำลัง ร่วมทำงานเชิงรุกมากขึ้น ทั้งมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาที่ต้องชัดเจน รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ อีกทั้ง ต้องเป็นศูนย์กลางให้ข้อมูลพยากรณ์ เตือนภัย คำแนะนำในการปฎิบัติตัวที่ถูกต้องกับประชาชน เพื่อป้องกันผลประทบต่อสุขภาพจากไฟป่าหมอกควันที่เกิดขึ้น
พร้อมกันนี้ ขอเน้นย้ำให้กระทรวงเกษตรฯเตรียมความพร้อมทำฝนหลวงช่วงวิกฤตหมอกควัน และเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน รวมถึงเกษตรกรเกี่ยวกับนโยบายเปลี่ยนพื้นที่เกษตร 9 จังหวัดภาคเหนือให้เป็นเกษตรปลอดการเผาภายใน 3 ปี รณรงค์ฝัง กลบเศษวัสดุทางการเกษตรแทนการเผา
พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า ขอให้กระทรวงมหาดไทย ลงขับเคลื่อนงานท้องถิ่นถึงระดับตำบลและหมู่บ้านมากขึ้น ในการจัดระเบียบควบคุมและเฝ้าระวังการเผาพืชไร่ พร้อมทั้งเสริมประสิทธิภาพของศูนย์บัญชาการระดับจังหวัด ติดตามเข้าควบคุมการเผา รวมทั้งปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยให้มีแผนเผชิญเหตุให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมทั้งขอให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนการทำงานในพื้นที่ทั้งมาตรการป้องกันแก้ปัญหาทางพื้นดินและทางอากาศ โดยเฉพาะการอำนวยการควบคุมพื้นที่ที่ขยายวงกว้างและมีผลกระทบหลายจังหวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน ปล่อยขบวนคาราวาน จากความร่วมมือของทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านการเผาและลดหมอกควันในพื้นที่ โดยย้ำว่าความสำเร็จของการป้องกันและแก้ปัญหา ต้องอาศัยความเข้าใจ ร่วมตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเองและสังคม ความร่วมมือการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งมาตรการทางสังคมและกฎหมาย
วันเดียวกัน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) ตรวจเยี่ยมการติดตั้งและเปิดเดินเครื่องหอสูงฟอกอากาศ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องในการลดปริมาณฝุ่นและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมโครกรัม หรือ PM 2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน หากอยู่ในเกณฑ์เกินมาตรฐานกำหนด 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ซึ่งกทม.ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และภาคเอกชนทดลองติดตั้งหอสูงฟอกอากาศ 1 ชุด บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้านถนนราชดำริ ตรงข้ามโรงแรมอโนมาแกรนด์ เขตปทุมวัน ได้ติดตั้งเครื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม และเริ่มเปิดเดินเครื่องตั้งแต่เวลา 06.00 น.ที่ผ่านมา โดยจะเปิดเดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับหอสูงฟอกอากาศ มีลักษณะเป็นเสาสูง 4 เมตร กว้าง 1.5 เมตร น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม ใช้หลักการทำงานของพัดลมขนาดใหญ่ที่มีปริมาณลมสูง (Air Volume) และกำลังการดึงลมสูง (Air Pressure) ดึงอากาศให้ไหลผ่านแผ่นกรองฝุ่น 2 ชั้น โดยใช้แผ่นกรองชนิด HEPA Fitter ขนาด 1 ไมครอน และปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกทางด้านบน มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 17,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ตารางเมตร เครื่องดังกล่าวจะทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ โดยใช้กำลังไฟฟ้า 3.5 กิโลวัตต์
พร้อมกันนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จัดเจ้าหน้าที่ร่วมเก็บข้อมูลปริมาณความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ซึ่งในช่วงเช้าก่อนเปิดเครื่องฟอกอากาศ วัดค่า PM 2.5 ได้ 31 มคก./ลบ.ม. ในช่วงที่เปิดเดินเครื่องขณะนี้ วัดค่าได้ 28 มคก./ลบ.ม. โดยจะใช้ระยะเวลาทดลองประมาณ 2-3 เดือน แบ่งเวลาประเมินผลเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น 24 ชั่วโมง ระยะกลาง 3 วัน และระยะยาว 30 วัน เพื่อนำข้อมูลวิเคราะห์เปรียบเทียบความเข้มข้นของฝุ่นและมลพิษ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องว่าสามารถลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี