ข่าวใหญ่ในร่มชายคาพระพิรุณขณะนี้ คงไม่พ้นเรื่องแบน 3 สาร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาความเห็นของส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค (4 ฝ่าย) ต่อการยกเลิก สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด คือ คลอร์ไพริฟอส พาราควอตและไกลโฟเซต โดยมี น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมซึ่งที่ประชุมมีมติ 9 ต่อ 0 ให้แบนสาร 3 ชนิดโดยจะเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย พิจารณาให้สารทั้ง 3 ชนิด ซึ่งอยู่ในบัญชีประเภทที่ 3 ไปเป็นบัญชีประเภทที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2562 นั่นหมายถึงจะส่งผลให้ห้ามครอบครอง ห้ามจำหน่าย ห้ามนำเข้า ห้ามผลิต สารทั้ง 3 ชนิดนี้ในประเทศไทยโดยเด็ดขาด หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายเห็นชอบตามที่คณะทำงานชุดนี้เสนอไป....จริงๆ แล้ว ขุนเกษตรา มองว่า การแบนหรือไม่แบน 3 สารนี้ เป็นสงครามทางการค้าที่ต้องการเอาสารที่หมดสิทธิบัตรออกไป แล้วเอาสารตัวใหม่ที่มีสิทธิบัตรมาขายแทน แถมมีราคาแพงกว่าเดิม 4-5 เท่า ตกค้างมากกว่าเดิม ประสิทธิภาพต่ำกว่าเดิม โดยที่ฝ่ายต้องการแบนพยายามใช้ข้อมูลที่ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ไม่มีแหล่งอ้างอิงของข้อมูล ตัดตอนงานวิจัยบางท่อน บางข้อความโดยใช้เรื่องของความปลอดภัยต่อสุขภาพมาเป็นข้ออ้าง พวกโลกสวยก็แห่เคลิ้มตามกันไปเรื่อย ทั้งที่ความจริงในชีวิตประจำวัน ทั้งของกิน ของใช้ ปนเปื้อนสารเคมีเต็มๆ มากกว่าการตกค้างของ 3 สารดังกล่าวเสียอีก
ขุนเกษตรา ไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านการใช้สารเคมีทางการเกษตรเสียทีเดียว แต่มองว่าทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล สารเคมีมีทั้งคุณและโทษ ยารักษาโรคที่เรากินกันก็เป็นเคมี หากกินตามคำแนะนำของแพทย์ก็ปลอดภัย แต่หากกินเกินขนาดก็อันตราย เช่นเดียวกับสารเคมีหากใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดก็มีความปลอดภัย ไม่ปนเปื้อน ไม่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม การทำเกษตรหากจะเป็นเพียงเกษตรหลังบ้าน ปลูกผักสวนครัว ทำกินกันในครอบครัวหรือทำขายในท้องถิ่น ก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีพวกนี้ทำเกษตรอินทรีย์ได้สบายๆ เหมือนอย่างที่รัฐมนตรีต้องการผลักดัน แต่หากเราจะเป็นเกษตรอุตสาหกรรม คิดจะแข่งขันนำเงินตราเข้าประเทศ ยังไงก็มีความจำเป็นต้องใช้ ประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ยังใช้สารพวกนี้นะครับ ในประเทศที่เขายกเลิกการใช้ตามที่ NGO อ้าง ส่วนใหญ่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ด้วยเหตุผลทางสภาพอากาศหรือสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นๆ แต่เขาก็ยังนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศที่ใช้ 3 สารตามปกติ เพียงแต่ต้องได้มาตรฐาน ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ซึ่งประเทศไทยก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้วมีมาตรฐานรับรองสินค้าเกษตรหลายชนิด มีหน่วยงานรับรองมาตรฐานสินค้าที่ได้การยอมรับจากองค์กรระดับโลก ไม่ใช่หน่วยงานที่ NGO นำมากล่าวอ้าง ซึ่งบางแห่งหาตัวตนไม่ได้อย่าไปว่าเกษตรกรเห็นแก่ตัวเลยครับ ความจำเป็นกับความต้องการ มันต่างกัน ลึกๆ เกษตรกรเขาไม่ต้องการใช้หรอกครับเพราะมันคือต้นทุน แต่มันจำเป็นต้องใช้ ซึ่งหากแบน 3 สารนี้แล้วหาสารตัวใหม่ ที่ใช้แล้วได้ผลดีกว่า หรือเท่าเทียมกัน อันตรายน้อยกว่า มีราคาต่ำกว่ามาให้เกษตรกรเลือกก็คงไม่เป็นไร เกษตรกรเขาไม่ได้ยึดติดกับ 3 สารนี้หรอก แต่ที่จะเอามาทดแทนยังหาข้อดีกว่าสารเก่าไม่ได้เลย...คิดให้ดีคิดให้รอบคอบนะครับ พิจารณาจากหลักวิชาการที่แท้จริง เพราะไม่อย่างนั้น นอกจากเกษตรกรได้รับผลกระทบด้านต้นทุนแล้ว ผู้บริโภคเองก็อาจจะต้องซื้อสินค้าเกษตรที่แพงขึ้นด้วยนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นการแข่งขันทางการค้าที่จะให้ไทยเป็นครัวโลกคงยาก...สุดท้ายไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรเลย และคงไม่ใช่ของขวัญปีใหม่แน่นอน...
ช่วงนี้มีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในหลายกรมหลายคนเติบโตในสายงานก็ของแสดงความยินดีด้วย เพราะบางงานจำเป็นต้องได้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะมาบริหาร ประเด็นนี้ ขุนเกษตรา มีข่าวแว่วๆ จากกรมการข้าว ว่าจะมีการขอย้ายข้ามห้วยมาจากเกษตรจังหวัดแห่งหนึ่งเพื่อมาเป็น ผอ.กองเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่ถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญของกรมการข้าวที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษา วิจัย และพัฒนาวิทยาการเมล็ดพันธุ์และการกระจายเมล็ดพันธุ์ เป็นหน่วยงานที่ต้องวางแผนและผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายและชั้นพันธุ์จำหน่าย มีการบริหารจัดการและติดตามประเมินผลการผลิตและการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าว ส่งเสริม สนับสนุน และถ่ายทอดวิทยาการเมล็ดพันธุ์ รวมถึงการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์และคุณภาพเมล็ดพันธุ์ ซึ่งหากเปิดโอกาสให้ ผอ.ศูนย์วิจัยข้าวหรือผอ.ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง ซึ่งมีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้เติบโตในสายงาน ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการผลิตข้าวพันธุ์ดีของประเทศได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่อยู่ดีๆ เอาคนข้ามห้วยข้ามกรมมานั่งบริหาร ขวัญกำลังใจของลูกหม้อก็หายหมดสิครับ ฝากผู้เกี่ยวข้องพิจารณาด้วยนะครับ
เมื่อเร็วๆ นี้ กรมส่งเสริมการเกษตร จับมือ สวก.สมาคมวิศวกรรมเกษตรแห่งประเทศไทย และ NIDA หารือแนวทางการนำงานวิจัยด้านนวัตกรรมเกษตรไปใช้ประโยชน์โดยมี นางดาเรศร์ กิตติโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการนำงานวิจัยด้านนวัตกรรมการเกษตรไปใช้ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์และใช้ได้จริงกับเกษตรกร โดยเน้นงานวิจัย3 ด้านหลัก ได้แก่ งานวิจัยเชิงนโยบาย งานวิจัยสาธารณะและงานวิจัยเชิงพาณิชย์ ในการเสนอขอรับทุนอุดหนุนงานวิจัย เบื้องต้น ได้ข้อสรุปการนำเสนอโครงการวิจัยภาคการเกษตร 5 โครงการ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาระบบการให้น้ำ ให้ปุ๋ยในพืชแบบอัตโนมัติ (Automatic) 2.โครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา 3.ระบบการพยากรณ์เตือนภัยศัตรูพืช (Smart Pest Warning Center) 4.งานวิจัยเชิงนโยบายภาคการเกษตรและ 5.ระบบ Supply Chain
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี