กรุงเทพฯเมืองไฮโซ! สื่อมะกันตีข่าวอสังหาฯหรูโต ย่านเก่าถูกลบเลือนหาย
16 ตุลาคม 2562 เว็บไซต์ นสพ.The New York Times สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “High-Rises Are on the Horizon for Bangkok’s Chinatown” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ว่า ด้วยเยาวราชและพื้นที่ใกล้เคียง อันเป็นชุมชนและย่านการค้าของชาวจีนที่เก่าแก่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงของประเทศไทย ที่กำลังเปลี่ยนไปจากทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ หลังมีสถานีรถไฟใต้ดินเกิดขึ้นถึง 2 แห่งในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตามบรรดากลุ่มทุนไม่ได้เปิดเผยว่าจะพัฒนาย่านประวัติศาสตร์แห่งนี้อย่างไร
รายงานข่าวอ้างข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า ในปี 2561 ชาวจีนใช้จ่ายกับอสังหาริมทรัพย์ไนไทยสูงถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4 หมื่นล้านบาท สะท้อนภาพการเจริญเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่ง ไมเคิล โคล (Michael Cole) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ Mingtiandi กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่ต้องการพักอาศัยในไทยถูกดึงดูดด้วยบรรยากาศผ่อนคลายไม่ต่างจากบรรดานักท่องเที่ยว นอกจากนี้ค่าครองชีพก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย
โคล กล่าวอีกว่า แม้ดอกผลไม่ปรากฏให้เห็นอย่างรวดเร็ว แต่อสังหาริมทรัพย์ในไทยจะไม่สูญเสียมูลค่า ดังนั้นจึงเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการนำเงินไปไว้ในต่างแดน ขณะที่ อัณณพ วงศ์ชุมพิศ (Annop Vongchumpit) รองประธานและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจ บริษัท ดิเอเจ้นท์ (พรอพเพอร์ตี้ เอ็กซ์เพิร์ท) จำกัด เปิดเผยว่า ราคาคอนโดมิเนียมหรูในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 11,000-22,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 3.35-6.71 แสนบาทต่อตารางเมตร
ส่วนคอนโดฯ ขนาด 1 ห้องนอนในย่านทองหล่อและชิดลม ราคาอยู่ที่ 416,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 12.6 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 833,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 25.4 ล้านบาท หากอยู่ตามแนวริมแม่น้ำ และ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 36.6 ล้านบาท สำหรับคอนโดฯ ในย่านถนนวิทยุ ด้าน มิชาเอล บีดัสเซ็ค (Michael Biedassek) ลูกครึ่งไทย-เยอรมนี ผู้บริหารบริษัททัวร์ Bangkokvanguards กล่าวเสริมว่า ย่านคนจีน (Chinatown) สมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21 ขับเคลื่อนด้วยเงิน
บีดัสเซ็ค ตั้งข้อสังเกตว่า กรุงเทพฯ พยายามทำตนเองให้ดูเหมือน “ประเทศโลกที่ 1 (first-world country)” หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไม่ใช่การนับรวมอาคารเก่าแก่ไว้ หากเป็นการส่งเสริมการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าและผู้คนที่ร่ำรวยในทุกหนทุกแห่ง ทั้งนี้ย่านเยาวราชและใกล้เคียงอาจสูญเสียไม่เพียงสถาปัตยกรรมเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตบนท้องถนนที่ดูวุ่นวายแต่ถักทอไว้ด้วยสายใยแห่งวิถีวัฒนธรรมด้วย อนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับ “ทศวรรษแห่งการพัฒนา (decades of development)” ที่ย่านเก่าแก่หลายแห่งในกรุงเทพฯ ถูกกำจัดออกไป
รายงานของ The New York Times กล่าวต่อไปว่า เมื่อคนรุ่นใหม่ย้ายออกจากย่านเก่า อาคารเหล่านี้มักถูกแทนที่ด้วยการเป็นโกดังเก็บสินค้าหรือไม่ก็ปล่อยทิ้งร้าง ต่อมามันได้กลายเป็นร้ายกาแฟและเกสต์เฮาส์โดยเฉพาะเมื่อมีสถานีรถไฟใต้ดินเกิดขึ้นเนื่องจากง่ายต่อการเข้าถึงของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้เยาวราชเป็นย่านขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินโดยเฉพาะในยามค่ำคืน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในประเด็นความหมายขององค์ประกอบทางภูมิทัศน์ของเมือง ที่ไม่เฉพาะอาคารเท่านั้นแต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย
“ตลาดใหม่ (Talat Mai market)” ตัวอย่างของชีวิตในย่านเยาวราช ในเวลาก่อนรุ่งสางที่นี่เป็นแหล่งขายเนื้อสัตว์ทั้งหมูและไก่ คนงานเข็นสิ่งของเสียงดัง บรรยากาศคึกคักจอแจ กระทั่งการมาของสถานีรถไฟใต้ดิน มีความเป็นไปได้ที่ตลาดแห่งนี้จะถูกจัดระเบียบเนื่องจากภาพที่เป็นอยู่นั้นดูไม่สวยงาม เช่นเดียวกับ “ย่านเจริญไชย (Charoen Chai)” เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับผลกระทบจากสถานีรถไฟใต้ดิน
ศิริณี อุรุนานนท์ (Sirinee Urunanont) ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเล่าเรื่องชุมชนเจริญไชย ซึ่งย่านนี้มีเอกลักษณ์คือเป็นพื้นที่ขายแบบจำลองสิ่งของต่างๆ ที่ทำจากกระดาษ สำหรับเผาส่งไปให้ผู้เสียชีวิตได้ใช้ประโยชน์ในโลกหลังความตายตามความเชื่อของชาวจีน เล่าว่า การนำคนออกไปจากย่านนี้สามารถทำได้โดยค่อยๆ ขึ้นค่าเช่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ส่วน ธัญญดา สารพันธุ์ (Thanyada Saraphan) เจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่ง กล่าวเสริมว่า คนในย่านนี้จำนวนมากเช่าที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและประกอบอาชีพ และการต่อสัญญาเช่าก็ถูกทำให้สั้นลงเรื่อยๆ
ผศ.ดร.เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์ (Tiamsoon Sirisrisak) นักวิชาการจากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล (ปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เคยสำรวจพบว่า ร้อยละ 10-20 ของอาคารเก่าในย่านเยาวราชและใกล้เคียงหายไป รวมถึงบรรดาร้านค้าชุดแต่งงานก็ถูกทำลายเพื่อนำพื้นที่ไปสร้างสถานีรถไฟใต้ดิน นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า มีการใช้กลยุทธ์ “ปล่อยข่าวลือ” เพื่อให้ผู้คนละทิ้งความคิดที่จะอยู่ในที่เดิมและตัดสินใจย้ายออกไป
ภูมิสิทธิ์ ภูริทองรัตน์ (Phumsith Purithongrat) เจ้าของร้านค้าอีกแห่ง เล่าว่า เดิมทีตนตั้งใจจะส่งมอบกิจการให้ทายาท แต่วันนี้กลับต้องกังวลถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เขายังกล่าวอีกว่า ผู้คนที่มาใหม่จะไม่เข้าใจชีวิตของเรา รากเหง้าของบรรพชนเราจะถูกตัดให้ขาดหายไป ทั้งนี้ประวัติศาสตร์ของไทยเล่าว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ก่อตั้งเมืองหลวง (บางกอกหรือพระนคร) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือเมื่อกว่า 200 ปีก่อน บรรดาชาวจีนทั้งที่เป็นพ่อค้าและผู้อพยพที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไปย้ายไปรวมตัวกันทางใต้จากจุดเดิม
ย่านใหม่ที่ชาวจีนย้ายไปอยู่นั้นถูกเรียกว่า “สำเพ็ง” กลายเป็นย่านการค้าที่ขึ้นชื่อ ต้นตระกูลชาวจีนอพยพหลายครอบครัวสร้างเนื้อสร้างตัวจากงานแรกๆ คือการเป็นผู้ให้บริการรถลาก กระทั่งเมื่อมีการเปิดใช้ระบบรถราง (Tram) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 รถลากด้วยแรงคนก็เสื่อมความนิยมไป หลายคนปรับตัวไปเป็นพ่อค้า-แม่ค้าร้านขายของชำ ต่อมาห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ก็ได้รับความนิยมมากกว่า ภูมิสิทธิ์ เล่าว่า ในที่สุดแล้วครอบครัวของเขาก็หันมาขายกระดาษเงินกระดาษทองสำหรับเผาส่งไปให้คนตายในปรโลก
พิมพ์พลอย (Pimploy) แม่ของภูมิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อรถไฟใต้ดินมาถึง แต่ก็จะขอพวกเขาให้ละเว้นพวกตนไว้ ให้ได้อยู่ที่นี่ต่อไป ทั้งนี้รายงานของ The New York Times ยังกล่าวด้วยว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายเกี่ยวกับผังเมือง แต่การบังคับใช้นั้นไม่ค่อยดีนัก
ที่มา : https://www.nytimes.com/2019/10/15/realestate/bangkok-chinatown-high-rises.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี