อีกสองเดือนต่อมา ราวสิงหาคม 2561 สำนักเลขานุการแอปเตอร์ที่กรุงเทพฯ ก็ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดเจรจาการซื้อขายข้าวรูปแบบที่ 1ต่อจากครั้งที่แล้วที่จัดโดยญี่ปุ่น หลังจากที่ได้ประสานกันไปมาทั้งสามฝ่ายถึงวันที่ลงตัว โดยใช้สำนักเลขานุการแอปเตอร์เรานี่แหละเป็นสถานจัดเจรจา เพราะเรามีห้องประชุมขนาดกะทัดรัดพอนั่งได้สัก 20 คน ก็ทำให้ใกล้ชิดกันดีมากยิ่งขึ้น คณะเจรจาทั้งหมดเกือบแทบจะเป็นชุดเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นตัวผู้อำนวยการกองญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนคนใหม่ ทำให้พวกเราคุ้นเคยกันดีมาก สำนักเลขานุการแอปเตอร์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ได้จัดเตรียมเอกสารไว้เรียบร้อย ว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ยังไม่บรรลุข้อตกลง ซึ่งเท่าที่ดูก็เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การประชุมเริ่มช่วงเช้า ไปจนกระทั่งถึงเกือบเที่ยง ทุกอย่างก็จบลงด้วยความสุข เพราะคราวนี้ ดูเหมือนว่าทางฟิลิปปินส์แทบจะไม่มีเงื่อนไขต่อรองใดๆ เลย โอเคๆ ไปหมดจนเราก็รู้สึกแปลกใจ คิดย้อนถึงปีที่แล้วสมัยเริ่มต้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะตอนแรกๆ ดูเหมือนว่าการเจรจาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้วนั่นแหละ ทุกวันนี้ปริมาณผลผลิตข้าวมีมาก จะซื้อที่ไหน เมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าย้อนคิดกลับไปจนถึงปี 2551 ที่ราคาข้าวสารพุ่งปรี๊ดในทุกตลาดโลก ซึ่งช่วงนั้นทำให้ราคาข้าวเปลือกของชาวนาสูงขึ้นด้วยเป็นหมื่นๆ บาทต่อตัน เป็นต้นมา ช่วงนั้นนั่นแหละที่ประเทศที่ขาดแคลนข้าว หรือผลิตข้าวไม่พอกินพากันเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เงินก็มีน้อย ขณะที่ราคาข้าวสารกลับสูงมาก ยิ่งมีพ่อค้าหัวใส คิดเก็งกำไร กักตุนข้าวไม่ขาย ราคาข้าวก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ระบบซื้อขายข้าวของแอปเตอร์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ประเทศผลิตข้าวไม่พอกินทั้งหลาย จึงพากันเร่งรัดผลักดันให้สร้างระบบความมั่นคงทางอาหารขึ้นอย่างถาวร
เมื่อการเจรจาเสร็จสิ้น ทางสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ในฐานะเจ้าภาพก็จัดเลี้ยงอาหารกลางวัน โดยเลียนแบบญี่ปุ่น คือ ซื้อข้าวมากินต่อในห้องประชุมนั้นเอง ลิ้มรสอาหารไทยแบบจานเดียวบะหมี่เป็ดย่างเอ็มเคกันอย่างอร่อย เหลือเวลาภาคบ่าย เราจึงจัดให้คณะทั้งหมดไปเที่ยวชมดูงาน 2 จุด ด้วยกัน จุดแรก คือ ตลาดไทแถวมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เน้นตลาดผลไม้ กับจุดที่ 2 คือ อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ความจริงเราก็วางแผนไว้แล้วว่า คงไม่ใช่สถานที่ไกลเกินไป เพราะมีบางท่านต้องเดินทางกลับคืนนี้เลย อีกทั้งสถานที่นั้นก็ต้องน่าสนใจพอสมควร
สำหรับตลาดผลไม้ที่ตลาดไท ผมว่าคิดถูกแล้วที่พาเขามาชม เพราะยิ่งใหญ่เหลือเกิน มีผลหมากรากไม้นานาชนิด ที่เมืองหนาวอย่างประเทศญี่ปุ่นไม่มี ฟิลิปปินส์ถึงจะมีบางชนิดแต่ก็ไม่หลากหลายเท่าที่ไทยมี พอดีเป็นช่วงทุเรียนออก มีทั้งมังคุดด้วย ทั้ง คิงและควีนออฟฟรุ๊ต มาโชว์เป็นที่น่าสนใจแด่บรรดาแขกต่างประเทศมากทีเดียว เสียอยู่อย่างเดียว เราไม่สามารถแบ่งซื้อเพื่อนำมาชิมได้ เพราะเขาจำหน่ายเป็นเข่งๆ ลังๆ มันมากเกินไปครับ
ส่วนจุดที่ 2 คือเมืองเก่าอยุธยา เราก็ว่าคงน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก็เฉพาะคนญี่ปุ่น เพราะทีมฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะท่านรองผู้บริหารหัวหน้าคณะของเขา ซึ่งเป็นสุภาพสตรีบอกว่า แกเคยไปมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรแกก็ชอบไปชมอีก แล้วยังย้อนถามน้องๆ ที่อยู่แอปเตอร์อีกว่า อยู่ประเทศไทยมาเที่ยวบ่อยไหมเจอคนตอบแจ็คพอตพอดีว่า “ไม่เคยเลย” อ้าว เป็นงั้นไป โถ ก็อย่างนี้แหละ คนอยู่ใกล้มักจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่คิดจะไปเยี่ยมชม แต่คนต่างประเทศ ได้ยินการโฆษณาจากสื่อต่างๆ ก็อยากจะมาชมเสียให้ได้
คงเหมือนกับผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่มาประจำอยู่แอปเตอร์นั่นแหละ แกมาอยู่ประจำประมาณ 2 ปีเศษ เที่ยวเมืองไทยเสียจนปรุ เสาร์ อาทิตย์ถ้าไม่ได้ตีกอล์ฟ แกก็จะเดินทางไปสถานที่ดังๆ ในต่างจังหวัด ไปกับเพื่อนเขาบ้าง ไปคนเดียวบ้าง ส่วนมากนั่งรถไฟไป ผมก็มานั่งนึก แหมญี่ปุ่นมีรถไฟชิงคันเซนอันแสนสะดวกและรวดเร็ว
แต่กลับต้องมานั่งรถไฟบูโรทั่งของไทย ฉึกฉักๆ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เขาคงจะได้อารมณ์ไปอีกแบบ นั่งไปพิษณุโลก เที่ยวสุโขทัยแล้วกลับกรุงเทพฯ ไปหาดใหญ่ ปาดังเบซาร์ ไปได้หมด ถือเป็นกำไรของชีวิตจริงๆ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
hanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี