“มโนราห์” หรือ “โนรา” ศิลปะการแสดงชั้นสูงทางภาคใต้ของไทย “สมัยโบราณเชื่อกันว่าโนราคือคนที่ถูกเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์” จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะร่ายรำได้ ถึงขั้นที่ผู้เป็นโนราจะได้รับการปฏิบัติเสมือนขุนนางหรือชนชั้นสูงเลยทีเดียว ซึ่งด้วยความที่อาชีพรำมโนราห์ถูกยกย่องอย่างมากนี้เองในอดีตหลายคณะจึงเป็นคู่แข่งกันและไม่ต้องการเปิดเผยความรู้ของคณะตนให้กับบุคคลภายนอก
กระทั่งเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมนี้ไว้ บรรดา “ครูหมอโนรา” หรือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการร่ายรำมโนราห์ จึงได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และผลักดันเข้าสู่หลักสูตรของโรงเรียน รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือชื่อเดิมคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตั้งแต่เมื่อปี 2549 ในชื่อโครงการ “แนวทางการสืบสานศิลปะมโนราห์ อ.นาโยง จ.ตรัง” ให้ทำการศึกษาอย่างเป็นระบบ
ราตรี หัสชัย นักวิจัยท้องถิ่นบ้านมโนราห์ อ.นาโยง จ.ตรัง เล่าว่า โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “แนวทางการสืบสานศิลปะพื้นบ้านมโนราห์โคกสะบ้า” เมื่อปี 2547 ซึ่งสืบเนื่องจากระยะหลังๆ คณะมโนราห์ต่างมีการปรับปรุงรูปแบบการแสดงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ในด้านหนึ่งจึงต้องการเก็บรวบรวมองค์ความรู้ดั้งเดิมของโนราไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เอกลักษณ์หรือความเป็นมโนราห์ดั้งเดิมสูญหายไป
“จากการสำรวจพบว่ามีคณะมโนราห์ใน อ.นาโยง จ.ตรัง ทั้งหมด 21 คณะ กระจายอยู่ทุกตำบลแบ่งเป็นคณะมโนราห์โบราณ 20 คณะและคณะมโนราห์ประยุกต์ ซึ่งเป็นการแสดงมโนราห์ควบคู่กับวงดนตรีลูกทุ่ง 1 คณะ นอกจากนี้ยังศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จ.ตรัง การดูงานที่วัดท่าแค จ.พัทลุง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นแหล่งกำเนิดมโนราห์ รวมถึงดูงานที่สถาบันทักษิณคดีศึกษาจังหวัดสงขลา เพื่อนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดระบบ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล” ราตรี กล่าว
นักวิจัยท้องถิ่นบ้านมโนราห์ อ.นาโยง จ.ตรัง เล่าต่อไปว่า ผลการดำเนินโครงการทำให้ข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับมโนราห์อำเภอนาโยงในทุกด้านเป็นองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมที่เป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลานได้ คณะผู้วิจัยมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องมโนราห์มากขึ้นนอกจากนี้ยังมีนักศึกษาบางส่วนที่ร่วมโครงการวิจัยได้หัดรำมโนราห์จนสามารถออกแสดงตามงานต่างๆ ได้และเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานศิลปะมโนราห์ที่กำลังจะหายไป ในส่วนของหัวหน้าคณะมโนราห์ก็เกิดความภาคภูมิใจที่มีคนเห็นคุณค่าของศิลปะการแสดงนี้
“การทำกิจกรรมร่วมกันในโครงการทำให้หัวหน้าคณะมโนราห์ได้พบปะกัน รำลึกถึงความหลังร่วมกัน เกิดความสัมพันธ์อันดี และเกิดสำนึกร่วมของความเป็นศิษย์ที่มีครูคนเดียวกันตามสายครูโนรา นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้โนราอาวุโสกับโนรารุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ทักษะ และทัศนะร่วมกัน เกิดการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ข้ามผ่านความเป็นตัวตน ความจำเพาะของตัวเองเปิดใจยอมรับ รวมถึงเกิดความตระหนักที่จะรักษา สืบทอด เพื่อดำรงไว้แก่ชนรุ่นหลัง” ราตรี ระบุ
ขณะที่ ศุภวัฒน์ สิริรักษ์ เยาวชนบ้านนาโยง จ.ตรัง กล่าวเสริมว่า ได้รับการฝึกฝนการรำมโนราห์มานานกว่า 6 ปี ตั้งแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เนื่องจากเกิดในตระกูลของครูโนราได้พบเห็นตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเกิดความชอบ จึงฝึกฝนจนสามารถออกแสดงในระดับจังหวัดมาแล้วหลายเวที “เสน่ห์ของการรำมโนราห์ คือ เวลาตีท่า ถ้อยคำ จะมีลูกไม้ 3 ซึ่งเป็นท่าเอกลักษณ์แล้วแต่คณะนักแสดง”ที่แต่ละคณะจะมีท่าเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป
“รำมโนราห์ต่างจากนาฏศิลป์แขนงอื่นๆ โดยจะมีลูกปัดที่ต้องร้อยด้วยมือเท่านั้น เรียกว่ากว่าจะเป็นชุดที่สวยงามต้องทำจากมือด้วยความประณีต อีกทั้งที่บ้านต้องมีหิ้งบูชามโนราห์ด้วย เมื่อก่อนที่สืบตายายโนรา เป็นคณะมโนราห์ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไม่ได้สืบทอด กระทั่งสุดท้ายก็มาเป็นตนเองที่ต้องสืบทอด เรียกว่าถ้ามีเชื้อสายต้องสืบทอด ถ้าไม่รับเหมือนให้สิ่งที่ดีงามเราไม่รับ ก็ไม่ดี แต่ส่วนตัวก็สืบทอดและยังต้องการสืบสานมโนราห์ไม่ให้สูญหาย”นายศุภวัฒน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี