การเจรจาซื้อขายข้าวรูปแบบที่ 1 ระหว่างญี่ปุ่นกับฟิลิปปินส์ เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ที่กรุงเทพฯ เหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ การลงนามในสัญญาระหว่าง 2 ฝ่าย ซึ่งสำนักเลขานุการแอปเตอร์รับผิดชอบเป็นผู้ร่างสัญญา มีการหารือกันทางอีเมลไปมาจนในที่สุดเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย ก็ได้ทำการแจ้งต่อคณะมนตรีแอปเตอร์ เพื่อให้ความเห็นชอบด้วย นับเป็นความพยายามของฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ที่ผลักดันเรื่องนี้จนเกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เรากำหนดไว้ว่าจะมีการลงนามสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในคราวประชุมรัฐมนตรีเกษตรและป่าไม้ของอาเซียนบวกสาม ปี 2561 จัดขึ้นที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งก็เป็นคราวเดียวกับที่
ที่ประชุมรัฐมนตรีเกษตรฯกำหนดที่จะมีการลงนามในพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงแอปเตอร์ที่เกี่ยวกับการขยายการบริจาคเงินโดยสมาชิกแอปเตอร์ต่อไปอีก 5 ปี พอดี เรียกได้ว่าการประชุมครั้งนี้เรื่องของแอปเตอร์จัดเป็นระดับพระเอกของการประชุมเลยทีเดียว
การจัดประชุมรัฐมนตรีเกษตรฯอาเซียนบวกสามครั้งนี้ ต่อจากที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดที่เชียงใหม่ เมื่อปี 2560 ที่ผมเคยเล่าว่าพิธีเปิดทำอย่างอลังการมาก แม้แต่ญี่ปุ่นยังชม แต่มาปีที่เวียดนามจัด สังเกตดูเขาไม่มีอะไรที่หรูหราเลย ทำแบบธรรมดามากๆ เข้าใจว่าเขาคงจะไม่อยากจะแข่งกับไทย เลยทำแบบเรียบง่ายไปเสียเลย กรุงฮานอยทุกวันนี้ต่างจากอดีตที่ผมเคยไปประมาณ 10 ปีมาแล้วมากโขครับ เริ่มตั้งแต่อาคารสนามบินใหม่ที่ปรับปรุงใหม่ใหญ่โตโอ่อ่ามากกว่าเดิม แม้จะเป็นจุดที่ตั้งเก่าก็ตาม คณะผู้จัดประชุมเตรียมรถพาหนะมารับแขกเมืองกันอย่างดี ผ่านช่องทาง ตม.พิเศษแล้วเดินทางเข้าเมืองไป โรงแรมที่จัดก็ใหญ่พอสมควร ตั้งอยู่ราวใจกลางเมือง มีสถานที่น่าสนใจไม่ไกลนัก สามารถเดินไปถึงได้ เช่น ทะเลสาบใหญ่ สุสานโฮจิมินห์ ที่ทำการรัฐบาล สถานีรถไฟ แต่ตัวตลาดฮานอยยังไม่ค่อยพัฒนานัก เป็นแบบเก่าๆ ถนนไม่กว้างขวาง มีรถยนต์วิ่งไม่มากนัก แต่ที่มากสุดๆ คือ “มอเตอร์ไซค์” ครับ
คนเวียดนามนิยมใช้มอเตอร์ไซค์มาก เกือบทุกเมืองมีมากวิ่งกันขวักไขว่แทบจะชนกัน (แต่มีชนกันจริงๆ น้อยมาก) ฮานอยไม่ใช่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจของเวียดนาม เพราะอดีตเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามเหนือ แต่เมืองเศรษฐกิจ คือ ไซ่ง่อน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโฮจิมินห์) ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามใต้ พอรวมกันหลังจากฝ่ายใต้ยอมแพ้ เพราะอเมริกาผู้หนุนหลังถอนตัวไป เวียดนามเลยเอาฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศ นับว่าเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เนื่องจากไซ่ง่อนเป็นเมืองธุรกิจ มีผู้คนหนาแน่นจอแจมาก
พิธีลงนามที่สำคัญและกระทำในห้องประชุมใหญ่ คือ การลงนามของรัฐมนตรีเกษตรฯ ของอาเซียนบวกสาม ในพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงแอปเตอร์ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ดำเนินการจัดและประสานงานโดยสำนักเลขาธิการอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวรูปแบบที่ 1 นั้น ฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์เป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้ห้องประชุมย่อยของโรงแรม แต่ก็ได้มีการแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ทราบด้วย ผู้แทนประเทศญี่ปุ่นที่ลงนามนั้น คือ อธิบดีกรม ภายใต้กระทรวงเกษตรป่าไม้และประมง ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นท่านคนใหม่ ส่วนของทางฟิลิปปินส์ได้แก่ รองปลัดกระทรวงเกษตร ทั้งนี้ เราได้เชิญผู้แทนสำนักเลขาธิการอาเซียนมาเป็นสักขีพยานด้วย
เสร็จสิ้นทั้งภารกิจการผลักดันการซื้อขายข้าวในรูปแบบที่ 1 ของแอปเตอร์ รวมทั้งการลงนามในสัญญาเรียบร้อย เราในฐานะฝ่ายสำนักเลขานุการแอปเตอร์ก็เลยเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่ทั้งฝ่ายญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่ภัตตาคารไม่ไกลจากโรงแรมประชุมมากนัก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จ อย่างไรก็ดีผมขออนุญาตเรียนไว้ตรงนี้ว่า ความสำเร็จครั้งนี้ คงไม่ใช่เกิดจากสำนักเลขานุการแอปเตอร์ฝ่ายเดียว แต่เกิดจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักครับ เพราะความตั้งใจเอาจริงเอาจังของคณะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องของทางกระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่น รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นที่ประจำแอปเตอร์ กรุงเทพฯ พวกเขามีความแอ็คทีฟมากจริงๆ จนทางฟิลิปปินส์ใจอ่อนตอบตกลง เชื่อว่าถ้าลำพังฝ่ายเลขานุการแอปเตอร์เจรจาเอง โดยไม่มีทางญี่ปุ่นมาช่วยด้วย ผมคิดว่าไม่มีทางสำเร็จได้เลย ก็ต้องขอขอบคุณทางญี่ปุ่นมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี