ในที่สุดคณะกรรมการวัตถุอันตรายก็ได้มีมติยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนภูมิใจไทยไปแล้วตามคาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากมติคณะกรรมการฯ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 26 ท่าน ซึ่งมีมติเป็นดังนี้คือ พาราควอต แบนด้วยเสียง 21 เสียง จำกัดการใช้ 5 เสียง คลอร์ไพริฟอส แบน 22 เสียง จำกัดการใช้ 4 เสียง และไกลโฟเซต แบน 19 เสียง จำกัดการใช้ 7 เสียง จึงสรุปเป็นมติที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้ปรับวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอสและไกลโฟเซตจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 (วัตถุอันตรายที่มีการผลิต นำเข้า การส่งออกหรือการมีไว้ในครอบครองต้องขออนุญาต) ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง) ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2562 เป็นต้นไป...นอกจากนี้ มติที่ประชุมยังเห็นชอบให้กรมวิชาการเกษตรไปดำเนินการยกร่างประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น พิจารณาระยะเวลาความเหมาะสมในการบริหารจัดการวัตถุอันตราย ที่ยังคงเหลืออยู่ หลังจากประกาศมีผลบังคับใช้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องด้วย...ต้องดูต่อไปว่ากระทรวงเกษตรฯ จะรับมืออย่างไรกับผลกระทบที่เกษตรกรจะได้รับตามมา ซึ่ง ขุนเกษตราไม่ได้สนับสนุนให้มีการใช้สารเคมีในการทำเกษตร และก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ 3 สารนี้ จะเป็นปัจจัยการผลิตที่สุดในการทำเกษตรเช่นกันทุกอย่างต้องมีความพอดีที่สมเหตุสมผล ภายใต้หลักฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานองค์กรที่น่าเชื่อถือ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ เองก็มีหน่วยงานทั้งที่ทำวิจัย และหน่วยงานที่กำกับดูแล ตรวจรับรองมาตรฐาน ที่ได้รับการเชื่อถือยอมรับจากองค์กรระดับโลกอยู่แล้ว แต่ท่านรัฐมนตรีทั้งหลายแหล่ ที่อ้างว่าอาสามาดูแลเกษตรกร กลับตัดสินใจให้แบน 3 สารดังกล่าวอย่างรีบด่วน โดยไม่ได้ฟังเสียงทัดทาน ไม่รับฟังข้อมูลให้ถ่องแท้จากหน่วยงานที่ท่านกำกับดูแลอยู่เลย ไม่รับฟังเสียงนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงทั้งจากกระทรวงเกษตรฯ และมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือแม้แต่ไม่ได้ทำประชาพิจารณ์ฟังเสียงของเกษตรกรเลยแม้แต่น้อย ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลจากการมโนของนักวิชาการที่ไหนก็ไม่รู้ที่รายงานผลการวิจัยที่ย้อนแย้งกับข้อเท็จจริงหลายด้าน และใช้กระแสของคำว่าเพื่อสุขภาพมาบังหน้า แถมยังแปลกประหลาดตรงที่อยากจะแบนการใช้สารเคมี 3 ตัวนี้ แต่กลับจะให้มีการนำเข้าสารเคมีตัวใหม่เข้ามาแทน แถมราคาแพงกว่าของเก่าหลายเท่า ในขณะที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานต่ำกว่ามาก ไหนๆ จะแบนทั้งที ทำไมไม่แบนให้หมดแล้วยกเลิกการนำเข้าสารเคมีเพื่อการเกษตรให้หมดไปเลย...ประชดนะครับ...อยากให้ท่านแยกแยะให้ออกว่าแบบไหนเป็นเกษตรหลังบ้าน แบบไหนเป็นเกษตรผสมผสาน แบบไหนเป็นเกษตรอินทรีย์ แบบไหนเป็นเกษตรปลอดภัยหรือแบบไหนเป็นเกษตรอุตสาหกรรม แต่ละรูปแบบมีวิธีการและเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ละรูปแบบมีความจำเป็นต้องใช้ปัจจัยการผลิตที่แตกต่างกัน นี่เห็นว่าจะมีโปรเจกท์ใหม่ส่งเสริมให้ทำน้ำหมักใช้กันถึงขั้นให้จดทะเบียนได้ ดูชักไปกันใหญ่ ไม่ใช่ว่าน้ำหมักไม่ดีนะครับ แต่ประสิทธิภาพ ศักยภาพของเขามีข้อจำกัด เหมาะสมกับการทำเกษตรเพียงบางรูปแบบเท่านั้น การใช้สารเคมีก็เช่นกัน จำเป็นต้องใช้ให้ถูกวิธี ใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสมและมีความรับผิดชอบ ไม่มีใครเอายาฆ่าหญ้าไปฉีดผักหรอกครับ ผักตายหมดไม่มีเหลือ เพราะเขาบอกอยู่แล้วว่ายาฆ่าหญ้าขุนเกษตรา มองว่า ที่เกษตรกรและนักวิชาการบางส่วนคัดค้านการแบนนั้นก็เพราะว่า ในบางรูปแบบการผลิตสินค้าเกษตรมันจำเป็นต้องใช้ แต่ใช้ให้ถูกวิธีและปลอดภัยทั้งผู้ใช้ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม เกษตรกรในยุคนี้เป็นยังสมาร์ท เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ มีหัวก้าวหน้ากว่าที่ท่านคิดเยอะครับ...
กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเปิดรับสมัครเกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 2562 ร่วมโครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์,ถั่วเขียว) ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม - 10 พฤศจิกายน 2562 ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทั่วประเทศ สำหรับโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยให้สามารถกลับมาเพาะปลูกพืชสร้างรายได้ในฤดูแล้งโดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดโอนเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงในการปลูกพืชใช้น้ำน้อย คือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเขียวในพื้นที่ที่เหมาะสม เป้าหมายเกษตรกร 150,000 ครัวเรือน พื้นที่ 1.4 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 100,000 ครัวเรือน พื้นที่ 1.0 ล้านไร่ และ ถั่วเขียว50,000 ครัวเรือน พื้นที่ 0.4 ล้านไร่ โดยมีหลักเกณฑ์คือ 1. เกษตรกรที่ประสบภัยเสียหายสิ้นเชิง 2. ช่วยเหลือไม่เกิน 20ไร่ของพื้นที่เสียหายและเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ 3. อัตราช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 245 บาท/ไร่ และถั่วเขียว 200 บาท/ไร่ โดยเกษตรกรต้องมีคุณสมบัติร่วมโครงการตามความสมัครใจ 1. เกษตรกรต้องมีสัญชาติไทยและบรรลุนิติภาวะ 2. เป็นหัวหน้าครัวเรือนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย (1 ครัวเรือน ต่อ 1 สิทธิ์ ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร) 3. เป็นเกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงฝนแล้ง หรืออุทกภัย ปี 25624. เปิดบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส.
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังดำเนินโครงการอื่นๆ อีกได้แก่ 1. โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2563/64 - รับผิดชอบโดย กรมการข้าว 2. โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก เพื่อฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัย รับผิดชอบโดย กรมปศุสัตว์ 3. โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง : การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน รับผิดชอบโดย กรมประมง และ 4. โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน - รับผิดชอบโดย กรมประมง โดยเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถเลือกเข้าร่วมได้เพียง 1 โครงการ จาก 5 โครงการทั้งหมด
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี