“เศรษฐกิจไหลริน (Trickle-Down Effect)” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “ทฤษฎีฝนหล่นจากฟ้า” เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เชื่อกันว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในสังคมหนึ่งๆ ต้องเริ่มจากการส่งเสริมนายทุนหรือผู้ประกอบการรายใหญ่ให้เติบโตก่อน เมื่อทุนใหญ่เติบโตแข็งแรงแล้วจะนำไปสู่การจ้างงานที่มากขึ้นรวมถึงดึงนายทุนหรือผู้ประกอบการรายย่อยมาเป็นคู่ค้ามากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมของสังคมนั้นก็จะดีขึ้นไปทั้งหมด แน่นอนรวมถึงคุณภาพชีวิตของคนทุกระดับชั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวคิดเศรษฐกิจไหลรินเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นสาเหตุที่ยิ่งทำให้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ”ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่ เพราะกลับกลายเป็นว่าสายธารแห่งผลกำไรไม่ค่อยตกมาถึงพื้น แต่ถูกกักเก็บไว้โดยผู้มั่งมีไม่กี่กลุ่มด้านบนสุด “รวยกระจุก-จนกระจาย” ขณะที่คนส่วนใหญ่เบื้องล่างต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงเศษที่เหลืออยู่ เพราะไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก
เมื่อเร็วๆนี้ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จัดงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง “นโยบายการเมืองกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ” โดยในตอนหนึ่งก็มีการพูดถึงแนวคิดเศรษฐกิจไหลริน อาทิ น.สพ.ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดพิษณุโลก พรรคอนาคตใหม่ ที่ยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ที่มีเครือข่ายกลุ่มทุนใหญ่ “แชโบล” ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าทั้งประเทศ และไทยคงอยากเป็นบ้าง
แต่หากโชคร้ายไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง สิ่งที่เกิดขึ้นจะเหมือนในประเทศแถบลาตินอเมริกา (อเมริกากลางและอเมริกาใต้) ที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำขยายแบบรุนแรงสุดขั้ว ประเภทที่มีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่กลางสลัม ซึ่งดูๆ แล้ว “ประเทศไทยไม่น่าจะเป็นได้แบบเกาหลีใต้ เพราะแชโบลเกาหลีใต้นั้นเป็นบริษัทที่ครอบครองเทคโนโลยี สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ต่างจากไทยที่เป็นฐานการผลิตของโรงงานต่างชาติ” ประเทศไทยมีฐานะเป็นเพียงแรงงานที่มีรายได้สูงระดับหนึ่ง แต่กำไรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของต่างชาติที่ได้รับการเอื้อให้ลงทุน
“แชโบลที่อภิมหาเศรษฐีเอาเศรษฐกิจไปเลย 20-30% ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) การศึกษาก็พุ่งไปเพื่อเข้าไปเป็นลูกจ้างของบริษัทเหล่านี้เท่านั้นด้วย ที่เกาหลีมีมหาวิทยาลัยที่เรียกว่า SKY เป็นชื่อย่อของ 3 มหาวิทยาลัย (Seoul National University, Korea University และ Yonsei University) ต้องเข้า 3 มหาวิทยาลัยนี้ให้ได้เท่านั้นคุณถึงจะมีงานทำ อันนี้คือความเหลื่อมล้ำ ถ้าสอบพลาดก็ฆ่าตัวตายในประเทศเกาหลี แล้วถ้าเราไม่ถึงเกาหลีไม่ได้ เราเหลื่อมล้ำขั้นสุดแล้วจบแบบลาตินอเมริกา อันนั้นฝันร้ายของจริง” น.สพ.ปดิพัทธ์ กล่าว
ขณะที่ ผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “พรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุนวิธีคิดแบบเศรษฐกิจไหลริน” เพราะประเทศที่ใช้แนวคิดดังกล่าวแล้วประสบความสำเร็จต้องมีลักษณะจำเพาะ เช่น เป็นประเทศเพิ่งเกิดใหม่และยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำน้อย ที่สำคัญมีกติกาชัดเจนว่าเมื่อรัฐทุ่มให้ส่วนหัวอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนหัวจะต้องแบ่งอะไรบ้างลงไปสู่ส่วนล่าง คำถามคือรัฐบาลไทยกล้าเก็บภาษีทุนใหญ่หนักๆ แล้วเอาเม็ดเงินมาทำสวัสดิการให้คนที่เหลือหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม “พรรคเพื่อไทยเชื่อในระบบเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม” เพราะมีแต่การทำให้เงินไปอยู่ในมือคนที่พร้อมจะใช้ หรือก็คือผู้มีรายได้น้อย จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ อีกทั้งการพัฒนาโดยเน้นคนระดับบนเป็นหลักยังมีความเสี่ยงสูง เช่น กำหนดให้ 10 บริษัทขับเคลื่อนประเทศ เมื่อโลกเกิดพลิกผัน อาทิ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป บริษัทเหล่านี้อาจถึงคราวขาลงก็ได้ แต่หากให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SMEs) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างหลากหลายยังพอรับประกันได้ว่าเมื่อธุรกิจหนึ่งล่มยังมีธุรกิจอื่นเดินหน้าต่อไปได้
“ขอยกตัวอย่างสักประเทศหนึ่งคือไต้หวัน มองว่าประเทศไทยควรจะพัฒนาใกล้เคียงกับไต้หวัน ไต้หวันใช้ SMEs นำประเทศ รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนส่วนหัวเยอะแบบประเทศเกาหลีใต้ รัฐบาลสนับสนุน SMEs แต่ไม่ได้สนับสนุนโดยตรง แต่สนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้ SMEs เหมือนยื่นความรู้ ยื่นเครื่องมือ ยื่นความช่วยเหลือให้ SMEs ให้ SMEs โตในการพัฒนาประเทศ มองว่าไทยถ้าใกล้เคียงที่สุดในประเทศแถวๆ นี้คือไต้หวัน ไม่ใช่แบบเกาหลีที่ใช้บริษัทใหญ่ๆ ยักษ์ๆ” รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว
ด้าน ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ อาจารย์คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ตั้งข้อสังเกตถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่โดยภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) นำไปสู่การคาดคะเนราคาและการเก็งกำไรที่ดิน ลักษณะนี้ทำให้คนรวยยิ่งได้ประโยชน์จากมูลค่าเพิ่ม (Capital Gain) เช่น เอกชนรู้ว่าถนนหรือทางรถไฟจะไปทางไหน ก็จะมีการไปกว้านซื้อที่ดินตามแนวเส้นทางนั้น ในขณะที่เศรษฐกิจระดับฐานรากไม่ค่อย
ได้รับการส่งเสริม
ส่วนคำถามว่าจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยได้อย่างไรนั้น “โครงสร้างภาษีและงบประมาณต้องถูกปรับปรุง” เช่น ผู้ประกอบการตั้งโรงงานอยู่ที่ไหนให้เสียภาษีกับจังหวัดนั้น เพราะถือว่าได้ใช้ทรัพยากรและอาจก่อผลกระทบกับพื้นที่นั้น ไม่ต้องมาเสียที่กรุงเทพฯ อย่างที่เป็นอยู่ หรือสัดส่วนงบประมาณระหว่างรัฐบาลกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรจัดสรรให้ท้องถิ่นได้รับในสัดส่วนที่มากขึ้น
“ภาษีมรดกที่เราออกมาในปี 2558 อัตราภาษีแค่ 5% ผมเป็นนักวิชาการไปพูดในต่างประเทศ ภาษีมรดกเก็บแค่ 5% ไม่รู้จะพูดอย่างไร ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ในขณะที่ภาษีมรดกทั่วโลกเขาเก็บ 30-40% ภาษีที่ดินอีกอย่างที่เป็นปัญหากับท้องถิ่น เช่นเดียวกันมีข้อยกเว้น 50 ล้านบาท ซึ่งท้องถิ่นก็จะเก็บแทบไม่ได้แล้วก็จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำ จริงอยู่อย่างสีลม ปทุมวัน บางรัก เก็บได้เพราะเกิน 50 ล้านบาท แต่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลต่างๆ เก็บไม่ได้” อาจารย์ดิเรก กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี