ล้างวิกฤติบ้านป่าแหว่ง!ปธ.ศาลฎีกาชูศาลสู่‘กรีนคอร์ท’ หนุนตั้งศาลสิ่งแวดล้อม
7 พฤศจิกายน 2562 นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกาคนใหม่ เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้บริหารศาลยุติธรรม พร้อมแถลงนโยบายประธานศาลฎีกาในการบริหารศาลยุติธรรมภายหลังรับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
นายไสลเกษ กล่าวแถลงนโยบายตอนหนึ่งถึงประเด็นสำคัญการสนับสนุนบทบาทของศาลในการส่งเสริมรักษาสิ่งแวดล้อม ว่า ปัจจุบันเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกของคน เราเผชิญกับวิกฤตภัยธรรมชาติมากมาย และเราเคยเจอวิกฤติด้วยองค์กรเราเอง ที่ จ.เชียงใหม่ กรณีการสร้างบ้านพักตุลาการ จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วย
“ภายใต้นโยบายของผมจะผลักดันให้ศาลเป็นสีเขียว GREEN COURT ด้วยหลักการถ้าไม่ปลูกแล้วอย่าตัด สำคัญมาก ถ้าปลูกยิ่งดี โดยกรีนคอร์ทคือมีความบริสุทธิ์ สะอาด หมายความว่าซื่อสัตย์สุจริตด้วย และต่อไปผมจะขอให้สำนักงานศาลยุติธรรม ประกาศให้ประเทศไทยรู้ว่าต่อไปนี้ในการก่อสร้างทุกโครงการของศาลยุติธรรมจะกำหนด TOR ว่าจะต้องคำนึงดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย และจะถือได้ว่าเป็นที่แรกที่มีการระบุ TOR สิ่งแวดล้อมในสัญญาการก่อสร้าง ซึ่งที่อื่นยังไม่มี” นายไสลเกษ กล่าว
นายไสลเกษ กล่าวอีกว่า เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมนี้ ศาลได้รับที่ดินเนื้อที่ 250 ไร่ บริเวณอ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ให้มาใช้ ซึ่งเราจะสร้างสถาบันฝึกอบรมเพิ่มอีกแห่งหนึ่ง จากที่ขณะนี้มีอยู่แล้วที่เดียวบริเวณรัชดาภิเษก รวมทั้งสร้างศาลเพิ่มในที่ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม(ก.บ.ศ.) ได้อนุมัติงบประมาณก่อสร้างแล้ว 70 ล้านบาท โดยเรายังจะใช้พื้นที่นี้เป็นการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้วย ในการปลูกป่า และแบ่งให้ชาวบ้านใช้ปลูกพืช 50 ไร่ ซึ่งตนสนับสนุนว่าหากศาลใดมีโครงการไม่ว่าจะจิตอาสาหรือโครงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้เอาสีเขียวมาลงที่นี่ โดยอยู่ในวิสัยที่เราจะรักษาได้ ตนเชื่อว่าไม่เกิน 10 ปีตรงนี้จะเป็นป่าอีกแห่งหนึ่งที่ปากช่องด้วยฝีมือของเรา
จากนั้นนายไสลเกษ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการแถลงนโยบายกรณีมีแนวคิดจะจัดให้มีศาลสิ่งแวดล้อม ว่า สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันทุกคนและสังคมถูกคุกคาม โดยที่เราไม่ดูแลธรรมชาติ ถ้าเรามีศาลเฉพาะทางขึ้นมา ที่มีความรู้ความเข้าใจ และให้อำนาจในการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เอาคนไปจำคุกอย่างเดียว เช่น หากมีการบุกรุกทำลายป่า แล้วรับฟังได้ คุณก็ต้องมาปลูกป่า โดยการนำเงินส่วนตัวมาปลูกป่า และต้องมีวิธีการที่จะบังคับคดีให้ได้จริง กรณีแบบนี้จะสามารถฟื้นฟูป่าได้ดีกว่าศาลปกติ
ทั้งนี้การตั้งศาลสิ่งแวดล้อมก็ยังมีปัญหาอยู่ว่าจะอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง หรือศาลยุติธรรม เรื่องนี้ยังคุยกันไม่ลงตัว ในส่วนของศาลยุติธรรมได้มีการยกร่างกฎหมายวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมไว้แล้วส่วนหนึ่ง แต่รัฐบาลเองยังไม่มีข้อยุติในเชิงนโยบาย
“ความเห็นส่วนตัวของผมเห็นด้วยว่าศาลสิ่งแวดล้อม มีความจำเป็นกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยในขณะนี้เรามีการตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ทั้งในศาลแพ่งและในศาลสูงมานานแล้ว แต่สิ่งที่ไม่ค่อยพัฒนาเพราะเราไม่มีงานทำที่เป็นกิจจะลักษณะ ถ้ามีการตั้งศาลสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นรูปธรรม และมีการกำหนดวิธีพิจารณาสำหรับคดีสิ่งแวดล้อม คิดว่าบทบาทของศาลคดีสิ่งแวดล้อมจะเยอะขึ้น” นายไสลเกษ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี