‘อนุทิน’โต้เสียงบ่นรพ.แออัด-รอนาน ยันสาธารณสุขไทยได้มาตรฐาน พร้อมหนุนขรก.ลุยนโยบาย-ไม่ทำตัวเป็น ‘ปลัดฯ-อธิบดี’ ชง ‘วิษณุ’ ดันอุ้ม ‘พนักงานราชการ’ ตอบแทนมุ่งมั่นทุ่มเท
10 พฤศจิกายน 2562 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิล์ด มีการประชุมวิชาการแพทยสภา ประจำปี 2562 พิธีมอบเกียรติบัตร เข็มเกียรติคุณ โล่เกียรติคุณ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 7 (ปธพ.7) โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภา ร่วมบรรยายพิเศษเรื่อง “อนาคตระบบสาธารณสุขไทย”
นายอนุทิน กล่าวตอนหนึ่งว่า ระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขของไทย นับว่ามีคุณภาพเป็นที่เชิดหน้าชูตา เพราะมีการวางรากฐานมาอย่างดี มีประเทศไหนในโลกที่องค์พระประมุข สละทรัพย์ส่วนพระองค์มาดูแลระบบการให้บริการด้านสาธารณสุข นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราก้าวหน้าในเรื่องนี้ ไม่ต้องอายชาติไหน และต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่ไม่ใช้สิทธิ์การรักษาพยาบาลของรัฐ แต่เลือกจ่ายค่าบริการส่วนตัว เพราะการเสียสละของท่าน ทำให้รัฐมีเงิน ไปใช้จ่ายกับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ ซึ่งถ้าหากทุกคนในประเทศ ใช้สวัสดิการรัฐกันหมด รับรองว่างบฯแค่ไหน ก็ไม่มีทางพอ
“ที่ผ่านมามีเสียงบ่น รอนาน โรงพยาบาลแออัด ตนเข้าใจทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ขอวิงวอนให้ย้อนมองว่าภาครัฐให้บริการอย่างมีมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ เราทำตามมาตรฐานสากล และไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นชาวต่างชาติ เราก็รักษา แม้จะยอมขาดทุนบ้างก็ตาม วันนี้รัฐมนตรีกับกระทรวงสาธารณสุขลงเรือลำเดียวกัน เรือเหล็กนะไม่ใช่เรือแป๊ะ เป็นเรือที่ค่อนข้างจะแข็งแรง และเราไม่ก้าวก่ายการทำงาน และพูดภาษาเดียวกัน มีความมุ่งมั่นตั้งใจในทิศทางเดียวกัน ก็เลยทำให้สิ่งที่เป็นปัญหาหรือสิ่งที่ไม่ได้รับการตัดสินใจในอดีต ก็ได้รับการเสนอและเคาะไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมช่วยเหลือกันและกัน วันนี้เรามีการยกระดับมาตรฐานทางการแพทย์มากขึ้น แต่ความคาดหวังของคนก็มากขึ้นตาม ดังนั้นใครบ่นอะไรก็บ่นไป เราก็แก้ไขไป” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า แต่สิ่งสำคัญเราต้องมองว่าพื้นฐานของเรามีมาตรฐานหรือไม่ ตนขอรับรองว่าระบบสาธารณสุขของเรา ได้มาตรฐานเราไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราจะดูแลประชาชนทุกคนที่พึงจะได้รับการดูแลจากภาครัฐในเรื่องของการแพทย์อย่างดี ไม่ใช่เพียงแค่คนไทย แต่รวมไปถึงคนกลุ่มน้อย แรงงานต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวที่ไทย ในกระทรวงสาธารณสุขวันนี้ตนเชื่อว่างานไปได้ดี เพราะว่ารัฐมนตรีไม่พยายามทำตัวเป็นปลัด หรือทำตัวเป็นอธิบดี แต่รัฐมนตรีทำตัวเป็นผู้บริหารและสนับสนุนภารกิจของข้าราชการประจำ แต่ละคนมีอำนาจที่จำกัด
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า องค์การเภสัชกรรมถูกตั้งคำถามเยอะ ว่าไปวิจัยยา ผลิตยาทำไม ซื้อของเอกชน ถูกกว่า ง่ายกว่า แต่อยากให้มองว่า ถ้าเกิดมีวิกฤติโรคระบาดจนขาดแคลนยา หากประเทศไทย สามารถผลิตยาเพื่อดูแลตัวเองได้จะดีกว่าหรือไม่ การทำงานขององค์การเภสัชกรรมเป็นเรื่องของความมั่นคงในระยะยาว
“มีข่าวออกมาตลอดว่าพนักงานราชการของกระทรวงสาธารณสุข ต้องการบรรจุเป็นข้าราชการ ตอบแทนความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน ผมไม่เคยมองข้าม และได้คุยกับท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม มาหลายครั้ง ถ้าได้เจอกันก็จะคุยแต่เรื่องนี้ ซึ่งท่านได้รับไปพิจารณา แต่ผมก็จะถามต่อไป ข้อเท็จจริงคือเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับงบประมาณ แต่มันอยู่ที่กระบวนการทางราชการมากกว่า” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงนโยบายยกระดับ อสม. ว่า เรามี อสม.กว่าล้านคนกระจายทำงานอยู่ทั่วประเทศ ถ้าเปลี่ยน อสม.เป็นหมอครอบครัว ดูแลคนป่วยชั้นปฐมภูมิในพื้นที่ได้ ย่อมจะลดภาระแพทย์ พยาบาล และช่วยลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย และเราได้ยกระดับสถานีอนามัยเป็น รพ.สต.แล้ว จึงมีความมุ่งมั่นให้สถานพยาบาลข้างต้น ช่วยคัดกรองผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาลศูนย์ ล่าสุด ตนได้ให้นโยบายกับกระทรวงสาธารณสุข คือ ต้องทำให้ประชนรู้จักดูแลสุขภาพตัวเอง ต้องให้ประชาชนทราบว่า 1. ยาดีแค่ไหน ก็สู้ไม่กินยาไม่ได้ 2. เตียงโรงพยาบาลนุ่มแค่ไหน ก็สู้เตียงไม้กระดานไม่ได้ 3.ขยันแล้วท่านจะแข็งแรง ส่วนขี้เกียจ มักจะจบลงที่หาหมอ ดังนั้นต้องหมั่นออกกำลังกายให้มากเข้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี