ภายหลังจากพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2562 แต่เพื่อให้การแก้ปัญหาน้ำของประเทศ ตั้งแต่การใช้น้ำ พัฒนาบริหารจัดการบำรุงรักษา ฟื้นฟูอนุรักษ์ และการรวมทุกหน่วยงานตลอดจนภาคประชาชนมาบูรณาการการทำงาน เพื่อให้ขับเคลื่อนภารกิจด้านน้ำไปในทิศทางเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกมิติ มีความสมดุลยั่งยืน จำเป็นต้องมีกฎหมายลำดับรอง หรือกฎหมายลูกรองรับด้วย
ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรอง 11 ฉบับ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า กฎหมายลูกดังกล่าว จะช่วยสร้างกลไกมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ สทนช.จะเร่งขับเคลื่อนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับลุ่มน้ำ ให้จัดสรรน้ำได้เท่าเทียม ทั่วถึง เป็นธรรม
สทนช.ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 46/2560 เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศมีเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานด้านน้ำที่มีอยู่กว่า 38 หน่วยงานใน 7 กระทรวง ซึ่งสทนช.ปรับบทบาทการทำงานมาต่อเนื่องจากปีแรกทำงานเฉพาะส่วนกลาง ก้าวมาขับเคลื่อนการทำงานระดับภูมิภาคกับพื้นที่ท้องถิ่นมากขึ้นในปีที่ 2 มีทั้งแผนหลัก แผนปฏิบัติการลุ่มน้ำ และประสานกับประชาชนชนบท จัดงบบูรณาการจากส่วนกลางและท้องถิ่น กำหนดเป้าหมายดำเนินงานที่ชัดเจน ทำงานไปพร้อมกันทั้งระบบ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
เมื่อก้าวขึ้นปีที่ 3 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองตามที่ สทนช.เสนอ ทำให้เห็นบทบาท อำนาจ หน้าที่ของสทนช.ชัดเจน และแก้ปัญหาน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงจุด เห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเฉพาะมาตราเร่งด่วนทั้งหมด 11 ฉบับ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์คัดเลือกองค์กรด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ ละการดำเนินงานขององค์กรผู้ใช้น้ำ สะท้อนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ รวมทั้งบริหารจัดการความเสี่ยง การดำเนินการในภาวะแล้งหรือน้ำท่วม การกำหนดค่าทดแทนการใช้น้ำ ค่าชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินจากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง ป้องกันแก้ไขภาวะแล้งและน้ำท่วม
สำหรับร่างกฎหมายลำดับรองทั้ง 11 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... 2.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ศ. .... 3.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ อันเนื่องมาจากเหตุบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ พ.ศ. .... 4.ร่างกฎกระทรวง กำหนดวัตถุประสงค์ หน้าที่และอำนาจ และการดำเนินงานขององค์กรผู้ใช้น้ำ รวมทั้งหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ พ.ศ. .... 5.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนแก่บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ ต้องสูญเสียน้ำที่กักเก็บไว้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. ....
6.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง จากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... 7.ร่างกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง และชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง จากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง เพื่อการป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... 8.ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการนำเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายไปวางต่อศาลหรือสำนักงานวางทรัพย์ หรือฝากไว้กับธนาคารออมสิน และวิธีการรับเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย พ.ศ. .... 9.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งให้บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ ต้องเฉลี่ยน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. .... 10.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และ 11.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ พ.ศ. ....
การดำเนินการต่อจากนี้ สทนช. และ สทนช.ภาคที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ทั้ง 4 ภูมิภาค จะเร่งขับเคลื่อนบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เตรียมคัดเลือกคณะกรรมการลุ่มน้ำ จากผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีผุ้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ เพื่อให้การบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในภาวะปกติ กรณีน้ำท่วมหรือภัยแล้งระดับพื้นที่ลุ่มน้ำมีประสิทธิภาพ รวมถึงแก้ปัญหาคุณภาพน้ำได้อีกด้วยตรงตามเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี นอกจากนี้ ยังตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาคเกษตร อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม โดยให้ผู้ใช้น้ำบริเวณใกล้เคียงในเขตลุ่มน้ำเดียวกันมีสิทธิรวมตัวจดทะเบียนตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำเพื่อประโยชน์ร่วมกันเกี่ยวกับการใช้ พัฒนา บริหารจัดการ บำรุงรักษา ฟื้นฟูฃและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในหมู่สมาชิกขององค์กรผู้ใช้น้ำได้
“เมื่อได้คณะกรรมการลุ่มน้ำให้ครบทั้ง 22 ลุ่มน้ำหลัก ก็จะตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ชุดใหม่ที่มีตัวแทนจากคณะกรรมการลุ่มน้ำเข้ามาเป็น กนช.ด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียว ครอบคลุมทุกมิติ สมดุลยั่งยืน และแก้ปัญหาน้ำตามความต้องการของประชาชนในทุกภาคส่วน ยิ่งกรณีเกิดวิกฤติน้ำและกฎหมายยังกำหนดให้ตั้ง “ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ” มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการอำนวยการแก้ปัญหาในลักษณะ Single Command เมื่อมีเหตุอันคาดว่า จะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำ จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤติ” เลขาธิการ สทนช.กล่าว
การก้าวขึ้นปี่ที่ 3 ของ สทนช. จะเป็นก้าวสำคัญนำไปสู่การปรับบริบทเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยใหม่ โดยสทนช.เป็นศูนย์กลางบูรณาการขับเคลื่อนภารกิจ และกำกับดูแลทรัพยากรน้ำของประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อก้าวสู่การเป็น“ศูนย์กลางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” มีสำนักงานที่ทำการแห่งใหม่ อยู่ที่ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นศูนย์บัญชาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี