กระชับสัมพันธ์2ศาสนา
โป๊ป-สังฆราช
ตรัสชื่นชมคนไทยมีน้ำใจ
เป็นแผ่นดินแห่งอิสรภาพ
ให้การช่วยเหลือผู้อพยพ
ย้ำ‘คาทอลิก’พร้อมหนุน
อัตลักษณ์งามแห่งสยาม
บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ยกประวัติศาสตร์สัมพันธ์อันยาวนาน ระหว่างไทย-นครรัฐวาติกัน กำชับความสัมพันธ์ 2 ศาสนา เผยโป๊ปตรัสชมไทยผ่านการเลือกตั้ง
มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อพยพ ยืนยัน”คาทอลิค”พร้อมหนุนอัตตลักษณ์อันงดงามของไทย ยกเป็นแผ่นดินแห่งอิสรภาพ
เมื่อเวลา 09.00น.วันที่ 21พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในโอกาสเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โอกาสนี้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เสด็จขึ้นแท่นรับความเคารพ บริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนเสด็จมายังตึกสันติไมตรี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรับเสด็จฝ่าพระบาทในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันนี้ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันพิเศษอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนครรัฐวาติกัน
“โป๊ป”ประทานสุนทรพจน์
จากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส ได้กล่าวประทานสุนทรพจน์ ใจความหนึ่งว่า ขอขอบคุณที่ได้ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้า ในการที่ได้มาอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ทั้งยังได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกแก่ข้าพเจ้าและคณะฯ เพื่อให้ได้มาเยือนผืนแผ่นดินไทย อันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย และยังเป็นประเทศที่ยังคงรักษามรดกทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ขณะที่ช่วงบ่ายวันนี้ข้าพเจ้าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระบรมราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงเชิญให้ข้าพเจ้ามาเยือนราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งถึงความปรารถนาดีของข้าพเจ้าที่มีต่อราชอาณาจักรและต่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอแสดงความระลึกอย่างสูงต่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
แสดงความยินดีผ่านการเลือกตั้ง
ข้าพเจ้าขออำนวยพรไปยังบรรดาปวงชนชาวไทยทุกคน ขอแสดงความเคารพนับถือ ต่อบรรดาทูตานุทูตทุกท่าน และในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศได้ผ่านการเลือกตั้ง อันเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้เราทั้งหลายทราบดีแล้วว่า ปัญหาของโลกในปัจจุบันเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อทุกส่วนของโลก เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวมนุษยชาติ และเรียกร้องให้มีความตั้งใจจริง ในการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมระหว่างประเทศ และความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างประชาชนทุกหมู่เหล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งในการที่ประเทศไทยกำลังจะหมดวาระของการเป็นประธานของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจ ในการแก้ไขปัญหาที่ประชาชนในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญ และยังเป็นหนทางในการที่จะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรม
คาทอลิกพร้อมหนุนอัตตลักษณ์ไทย
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส กล่าวว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นประเทศพหุสังคมที่มีความหลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นประเทศที่ยอมรับถึงความสำคัญในการสร้างความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยแสดงความเคารพและยกย่องต่อวัฒนธรรม ศาสนา และความคิดเห็นที่แตกต่าง ขณะเดียวกันรู้สึกดีใจอย่างยิ่งต่อการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งศูนย์จริยธรรมและสังคม ซึ่งได้เชิญผู้แทนจากศาสนาต่างๆ ในประเทศเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเขาเหล่านี้ ในการที่จะรักษาความทรงจำทางจิตวิญญาณอันมีชีวิตของประชาชน
ขอยืนยันว่า ชาวคาทอลิกแม้ว่าเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในประเทศ จะพยายามอย่างเต็มความสามารถ ในการที่จะสนับสนุนอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งปรากฏในเพลงชาติว่า”รักสามัคคี รักสงบ ไม่ขลาด” อย่างไรก็ตามผืนแผ่นดินไทย คือแผ่นดินแห่งอิสรภาพ เราทราบกันดีแล้วว่า อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถที่จะเติมเต็มความรับผิดชอบที่เรามีต่อกันและกัน เพื่อเอาชนะความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ ทั้งนี้ในประเด็นการเคลื่อนไหวของผู้ย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่สถานการณ์อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมที่สำคัญยิ่งในยุคสมัยของเรา ไม่สามารถปฏิเสธวิกฤติการณ์ปัญหาผู้อพยพ วิกฤติการณ์นี้ไม่สามารถมองข้ามได้ ประเทศไทยเองเคยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงว่าเป็นประเทศที่ต้อนรับผู้อพยพ โดยเฉพาะบรรดาผู้ต้องหลบหนีอย่างน่าเศร้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
วอนให้ประชาคมโลกช่วยด้วย
“ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ประชาคมระหว่างประเทศ ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่ผลักดันให้ประชาชนต้องหลบหนีออกจากประเทศของตน และส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย มีการจัดการ และมีการควบคุม ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกประเทศจะจัดตั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของบรรดาผู้ย้ายถิ่นและผู้อพยพ ผู้ซึ่งต้องเผชิญภยันตราย ความไม่แน่นอน และการถูกเอารัดเอาเปรียบ ในการที่เขาแสวงหาเสรีภาพและชีวิตที่มีศักดิ์ศรีสำหรับครอบครัวของตน พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้อพยพ หากแต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมของเราทุกคนด้วย เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบรรดาสตรีและเด็กในยุคของเรา ที่ต้องเผชิญกับ ความรุนแรง การถูกเอารัดเอาเปรียบ และการถูกบังคับให้ทำงานเยี่ยงทาสในหลากหลายรูปแบบ
ข้าพเจ้าของชื่นชมรัฐบาลไทย รวมทั้งบุคคลและองค์กรที่ได้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อแก้ไขปัญหาอันน่าเศร้าใจและเปิดหนทางแห่งการดำเนินชีวิตที่มีศักดิ์ศรีแก่บุคคลเหล่านี้ ปีนี้เป็นปีแห่งการครบรอบ 30 ปี ของ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับเราในการที่จะไตร่ตรองและดำเนินการด้วยความตั้งใจแน่วแน่”สมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส กล่าว
เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช
ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เสด็จไปยังพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดำรัสต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
ความว่า
“ขอถวายพระพร สมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงสมณคุณ อาตมาภาพ ในนามคณะสงฆ์ไทย ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ ในโอกาสที่พระองค์เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และเสด็จมาทรงเยี่ยมอาตมาในวาระนี้ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพึงจดจารึกไว้เป็นศุภนิมิตแห่งน้ำใจไมตรีที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทยมีสืบเนื่อง กันมาอย่างแน่นแฟ้นราบรื่นและงดงามเป็นเวลาเนิ่นนานนับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ 35 ปีล่วงมาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เฉพาะพระพักตร์พระพุทธอังคีรส ประธานพระอุโบสถแห่งนี้ สมเด็จพระอุปัชฌา ยะของอาตมาภาพ คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ได้เสด็จลงทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก เสด็จมาทรงเยี่ยมประมุขแห่งพุทธจักรไทย ณ ราชอาณาจักรไทย ภาพเหตุการณ์ ในวันนั้นยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของอาตมาภาพผู้มีโอกาสได้เฝ้าอยู่ในการดังกล่าวด้วย ทั้งสองพระองค์ทรงปราศรัยกันทรงแสดงพระอัธยาศัยอันงามต่อกัน บนพื้นฐานแห่งพระเมตตาจิตอย่างแท้จริง ในฐานะนักบุญ ผู้ประเสริฐแห่งสองศาสนาซึ่งมุ่งหมายจะแผ่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ไปสู่ทุกชีวิตอย่างไม่ประมาณเป็นอุดมการณ์ร่วมกัน
ยกประวัติความเป็นมิตรเก่าแก่
ขอถวายพระพรทรงทราบว่าใต้ฐานพระพุทธอังคีรสยังเป็นที่บรรจุพระบรม อัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 เมื่อพุทธศักราช 2440 เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนาถ ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 11 เมื่อปีพุทธศักราช 2477 อีกทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้เคยเสด็จ พระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 เมื่อพุทธศักราช 2503 และทรงเคยรับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อพุทธศักราช 2527
สถานที่แห่งนี้จึงเป็นมงคลสถานสำหรับการพบกันของเราทั้งสอง ด้วยส่วนแห่งพระวรกายของทุกๆพระองค์ยังคงประดิษฐานเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพซึ่งได้ทรงสร้างสรรค์ไว้นับตั้งแต่อดีตสมัย หากแต่ละพระองค์มีพระวิญญาณวิถีใดที่จะทรงหยั่งทราบคงจะทรงโสมนัสพระราชหฤทัยไม่น้อย ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญงอกงามแห่งทางพระราชไมตรี เป็นภาพอันน่าประทับใจอีกครั้งในวันนี้ การเสด็จมาครั้งนี้ของพระองค์จึงไม่ใช่การมาของมิตรใหม่ แต่เป็นการมาเยือนของมิตรแท้อันเก่าแก่ของไทย ระยะทางที่ห่างไกลกันหาใช่อุปสรรคของความสนิทสนมกลมเกลียวกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง
บัดนี้ มหาบพิตรทรงพระอุตสาหกรรมพระวรกายบนหนทางแสนไกล เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยและมาทรงเยี่ยมอาตมา ด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพถึงที่นี้อาตมาภาพขอสนองน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพนั้นๆ ตอบถวายเป็นหลายเท่าทวีคูณด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาธรรมซึ่งพระองค์ทรงเจริญมั่นอยู่ในพระหฤทัยและด้วยศุภผลแห่งกุศลเหตุ คือความไม่ประทุษร้ายมิตร ขอพระองค์ทรงสถาพรเป็นปูชนียสถานอันประเสริฐของศาสนิกบริษัทและทรงพระเจริญในสมณคุณค้ำจุนให้ผ่องแผ้ว ผ่านพ้นพิบัติทั้งปวง สมตามพระพุทธานุศาสนี ดังอาตมาภาพอัญเชิญมาอ้างเป็นสัจจะวาจาข้างต้นนี้ทุกประการ ขอถวายพระพร”
โป๊บกราบทูลพระสังฆราช
ต่อจากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส กราบทูลสมเด็จพระอริยวงศาค ตญาณสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ความว่า
“กราบทูลทราบฝ่าพระบาทหม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระดํารัสต้อนรับของฝ่าพระบาทและปีติอย่างยิ่งที่ได้เริ่มต้นภารกิจแรกของการเยือนราชอาณาจักรนี้ โดยการมาเฝ้าฝ่าพระบาท ณ วัดราชบพิธฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณค่าอันประเสริฐ อีกทั้งได้เรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงคุณลักษณะของปวงชนอันเป็นที่รักของผู้เป็น ศาสนิกชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยพระพุทธศาสนาเกื้อกูลให้เคารพต่อชีวิตดูแลผู้อาวุโส ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย บนพื้นฐานความตั้งมั่นแห่งจิต การปล่อยวางความเพียรและความมีวินัย เป็นลักษณะที่เฉพาะอัตลักษณ์พิเศษของคนไทย ทำให้ผืนแผ่นดินนี้เป็นที่รู้จักในนามของประเทศแห่งรอยยิ้ม การพบปะระหว่างฝ่าพระบาทและหม่อมฉันในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีแห่งความชื่นชมและการยอมรับซึ่งกันและกันที่บรรดาผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเรา ได้เริ่มต้นไว้ หม่อมฉันปรารถนาที่จะให้การพบปะในวันนี้เป็นการเจริญรอยตาม พร้อมทั้งกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างศาสนิกของเรา โดยเฉพาะเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 17 เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัตเสด็จ พร้อมด้วยคณะพระเถระไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ณ นครรัฐวาติกัน อันเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพัฒนาการเสวนาระหว่างศาสนาทั้ง2 นำไปสู่การที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 18 และในกาลต่อมาฝ่าพระบาทยังทรงพระกรุณาโปรดประทานอนุญาตให้คณะพุทธบริษัท จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นำบทแปลพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ ซึ่งจารึกเป็นภาษาบาลีและถูกเก็บรักษาอยู่ในหอสมุดวาติกันเดินทางไปมอบให้หม่อมฉัน เป็นโอกาสให้หม่อมฉันได้ต้อนรับด้วยความชื่นชมยินดี นับเป็นก้าวสำคัญประจักษ์พยานว่าวัฒนธรรมแห่งการพบปะฉันมิตร เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่เพียงแต่ต่อบรรดาศาสนิกชนของเราแต่ยังพึงไปในชาวโลก ซึ่งนับว่ามีแนวโน้มจะยุยงให้เกิดความแตกแยก เมื่อเรามีโอกาสที่จะเข้าใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้ว่ามีความแตกต่างกันบ้าง แต่ในที่สุดก็จะบังเกิดผลอันดีงามสู่ชาวโลก วาจาแห่งความหวังย่อมสามารถให้กำลังใจและพลิกฟื้นบุคคลผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความแตกแยกได้
ชมไทยมีเสรีภาพทางศาสนา
ในศุภวาระเช่นนี้เตือนสติพวกเราให้เข้าใจความสำคัญของศาสนาในฐานะที่เป็นประภาคารแห่งความหวังและเป็นดวงประทีปที่ส่งเสริมสนับสนุนและเป็นหลักประกันแห่งภราดรภาพ หม่อมฉันขอขอบใจปวงชนชาวไทยที่ให้โอกาสศาสนิกชนคาทอลิกผู้เข้ามาในประเทศไทยกว่า 4 ศตวรรษที่แล้ว ถึงแม้ว่าชาวคาทอลิกจะเป็นเพียงกลุ่มศาสนิกอันน้อยนิดแต่ก็ได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม และได้ดำรงชีวิตอย่างสันติสุขกับพี่น้องพุทธศาสนาทั้งชายหญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ในการเดินทางมาและก้าวเดินต่อไปด้วยความไว้วางใจกันและภราดรภาพต่อกันเช่นนี้ หม่อมฉันปรารถนาที่จะเน้นย้ำความตั้งใจจริงส่วนตัวหม่อมฉันและของพระศาสนจักรคาทอลิก โดยส่วนรวมในการที่จะเสริมสร้างให้เกิดเสวนาที่เปิดเผยและเคารพซึ่งกันและกันในการรับใช้เพื่อสันติภาพตลอดจนความผาสุกของศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า โดยอาศัยการเสวนาในระดับวิชาการ ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติสมาธิ การแสดงความเมตตาและการศึกษาใคร่ครวญอย่างละเอียด ซึ่งล้วนเป็นคุณธรรมที่เรายึดถือร่วมกันในสองศาสนา เราก็สามารถเจริญ เติบโตในการเป็นเพื่อนบ้านแบบมิตรแท้ที่ดีต่อกัน เราจะสนับสนุนให้ศาสนิกชนได้ค้นหาวิธีการแสดงความเมตตาในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อจะได้เป็นการส่งเสริมให้พวกเขาดำเนินชีวิตในความเป็นพี่น้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และกับโลกอันเป็นบ้านส่วนรวมของเราที่กำลังถูกทำลาย ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งความเมตตาภราดรภาพและการพบปะทั้งที่นี้และที่อื่นๆในโลก หม่อมฉันมั่นใจว่าวิธีการเช่นนี้จะเกิดผลอย่างบริบูรณ์ในอนาคต
หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าพระบาทอีกครั้งหนึ่งที่ประทานโอกาสให้เราทั้งสองได้พบกันหม่อมฉันขออธิษฐานวิงวอนต่ออานุภาพอันสูงสุด เพื่อถวายพระพรแด่ฝ่าพระบาท ขอฝ่าพระบาทมีพระพลานามัยแข็งแรง และเปี่ยมด้วยพระเกษมสุขอีกครั้งขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาทมีพระกำลังที่จะทรงนำพาพุทธศาสนิกชนให้ประสบสันติสุขสืบไป ขอขอบพระทัย”
ร่วมพิธีบูชาขอบคุณพระเจ้า
ต่อมาในเย็นวันเดียวกัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เสด็จมายัง สนามศุภชลาศัย เพื่อร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณพระเจ้า ท่ามกลางคริสตชนมาเฝ้ารับเสด็จกว่า 5หมื่นคน ภายในงานยัง มีการจำหน่ายสินค้าในการเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส อาทิ เสื้อยืด ถุงผ้า ร่ม หมวกและ เหรียญที่ระลึกอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี